โปแตชชัยภูมิเดินหน้าทำเหมืองต่อไม่รอสรุป‘อีไอเอ’โรงไฟฟ้าถ่านหิน
เหมืองแร่โปแตชที่ชัยภูมิ ยันเดินหน้าก่อสร้างได้ราวกลางปีนี้ หลังเปิดให้ผู้รับเหมายื่น ซองประมูลแล้ว มั่นใจโครงการไม่สะดุด แม้งบลงทุนบานปลายพุ่งอีก 1 หมื่นล้านบาท จากค่าเงินบาทอ่อนตัว และเป็นคนละส่วนกับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีปัญหาต่อต้าน เตรียมยื่นรายงานอีไอเอให้สผ.พิจารณาต้น มี.ค.นี้
นายอภิชาติ สายะสิญจน์ รองกรรมการผู้จัดการ สายปฏิบัติการ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานว่า ขณะนี้บริษัทได้เปลี่ยนชื่อจากบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) มาเป็นบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด(มหาชน) แล้ว ซึ่งนับจากบริษัทได้รับประทานบัตรการทำเหมือง จากกระทรวงอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นมา ครอบคลุมพื้นที่ 9.7 พนไร่ ในอำเภอบำเหน็จณรงค์ มาอยู่ประทานบัตร 25 ปี ซึ่งตามแผนจะใช้เวลาในการพัฒนาเหมืองประมาณ 3 ปี แล้วเสร็จภายในปี 2561 ผลิตแร่โปแตชได้ 1.1 ล้านตันต่อปี
โดยในปีนี้ทางบริษัทจะเริ่มเข้าพื้นที่พัฒนาเหมือง ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การพัฒนาเหมืองบนดิน ซึ่งเป็นในส่วนของโรงงานแต่งแร่ และระบบโครงสร้างพื้นฐานนั้น ได้มีการเปิดยื่นซองหาผู้รับเหมาไปแล้ว และอีกส่วนเป็นการพัฒนาเหมืองใต้ดิน ที่จะมีการปรับปรุงซ่อมแซมอุโมงค์ ติดตั้งระบบใหม่ และการขุดอีก 2 อุโมงค์ ซึ่งจะมีการเปิดให้ยื่นซองประมูลในวันที่ 29 มกราคมนี้ ซึ่งทั้งหมดคาดว่าจะได้ผู้รับเหมาในช่วงกลางปีนี้ และหลังจากนั้น จะเริ่มทำงานใต้ดินเพื่อขุดเกลือขึ้นมาก่อนจะถึงชั้นโปแตช เพื่อรอการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น ที่จะนำมาผลิตไอน้ำในการแยกแร่ให้แล้วเสร็จก่อน ถึงจะสามารถขุดแร่โปแตชขึ้นมาได้ ซึ่งขณะนี้ยืนยันได้ว่าการลงทุนทางด้านการพัฒนาเหมืองแร่ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงค่อนข้างมาก มาอยู่ในระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของโครงการปรับตัวสูงขึ้นมาอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 4.5 หมื่นล้านบาท คำนวณจากค่าเงินบาทที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ทั้งนี้บริษัทไม่มีความเป็นห่วง เนื่องจากเป็นสถานการณ์ของความผันผวนของค่าเงินและทางสถาบันการเงินก็เข้าใจ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการกู้เงินของโครงการแต่อย่างใด
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาการต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมูลค่าลงทุนประมาณ 3.6 พันล้านบาทนั้น ทางบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะก่อสร้างมาเพื่อขายไฟฟ้า แต่เป็นการใช้เพื่อการผลิตไอน้ำ สำหรับการแยกแร่โปแตช และมีส่วนไอน้ำเหลือใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าได้ขนาด 56 เมกะวัตต์ และก็ถูกนำมาใช้ในโครงการ ซึ่งที่ผ่านมาทางบริษัทพยายามทำความชี้แจ้งกับกลุ่มชาวบ้านไปแล้ว พร้อมทั้งการพาดูงานเยี่ยมชม โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าในจังหวัดปทุมธานี ที่มีการผลิตไอน้ำและไฟฟ้าเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมโดยบริษัทได้เปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 ไปแล้วเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา
ขณะนี้กำลังจะส่งผลข้อคิดเห็นไปยังกลุ่มชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และคาดว่าจะสรุปผลทั้งหมดในรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ ส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) พิจารณาได้อย่างช้าต้นเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการผู้ชำนาญการ(คชก.) จะมีการพิจารณาประเด็นเพิ่มเติมอย่างไรออกมา
ทั้งนี้ บริษัทยืนยันว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง ทำให้สามารถปล่อยมลพิษต่ำกว่ามาตรการฐานที่กำหนดไว้ และเชื้อเพลิงที่นำมาใช้เป็นถ่านหินบิทูมินัสคุณภาพดี อีกทั้ง มีการติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดการปล่อยมลพิษที่ปากปล่อง สามารถออนไลน์มาแสดงไว้ที่ป้ายหน้าโรงงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบปริมาณมลพิษที่ปล่อยออกมาได้ว่า เกินค่ามาตรฐานหรือไม่ ซึ่งหากประชาชนยังมีข้อสงสัยทางบริษัทก็พร้อมที่จะชี้แจง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,125 วันที่ 24 - 27 มกราคม พ.ศ. 2559