KTAM ลุยตราสารหนี้ทั่วโลก พร้อมส่ง KT-GCINCOME ประเดิมรับปีจอ

21 ม.ค. 2561 | 23:00 น.
KTAM เข็น KT-GCINCOME รับปีจอ เปิดขาย 18-26 ม.ค.สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจที่สดใสขึ้นเน้นลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกระดับน่าเชื่อถือ หวังเพิ่มรายได้ให้ผู้ถือหน่วย ด้านบลจ.ไทยพาณิชย์ฯแนะเก็บหุ้น จังหวะดัชนีพักตัว

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนเปิด เคแทม โกลบอล เครดิต อินคัม ฟันด์ (KT-GCINCOME)เป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18-25 มกราคม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลัก Schroder ISF Global Credit Income ไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อสร้างรายได้ และการเติบโตของเงินทุน

“นโยบายหลักเราจะลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade และ High Yield ที่ออกโดยรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ และบริษัททั่วโลก รวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ และผู้จัดการกองทุนได้รับจัดอันดับ AAA จาก citywire”นางชวินดากล่าว

MP19-3333-1a ทั้งนี้กองทุน KT-GCINCOME เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และมีผู้ชำนาญการมาช่วยบริหารจัดการ โดยเหมาะสำหรับผู้ลงทุนในระยะกลาง1-3ปี และคาดหวังจะได้รับกระแสเงินสดการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในทุกไตรมาสเงินลงทุนขั้นตํ่า1,000 บาท ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนรวมหลัก Schroder ISF Global Credit Income USD ณ วันที่ 30พฤศจิกายน 2560ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 1.30% 6 เดือน อยู่ที่ 3.20%YTD (3ม.ค.-30พ.ย.60) อยู่ที่ 8.00% ย้อนหลัง 1ปีอยู่ที่ 9.25%

นางชวินดากล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2561 ว่า ยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้อัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งพร้อมกับการลดขนาดสินทรัพย์ลง ขณะที่ธนาคารกลางในยุโรปและญี่ปุ่นอาจยังไม่มีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เริ่มจะลดการเข้าซื้อพันธบัตรตามนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ(Quantitative Easing) ลง

“ภาพรวมอาจผันผวนเพิ่มขึ้นบ้าง จากการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละช่วง ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ ซึ่งการลงทุนในพันธบัตรเอกชนที่มีแนวโน้มธุรกิจและฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นจากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ทำให้ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทนั้นๆมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มCredit Rating ที่เพิ่มขึ้นขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นก็จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนใหม่เมื่อตราสารครบกำหนดชำระคืน เพราะตราสารใหม่ที่ลงทุน จะมีอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้นตามการปรับตัวของตลาด”

728x90-03-3-503x62 ขณะที่นายสมิทธ์พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด สะท้อนมุมมองภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2561 ว่า ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยบวกทั้งจากภายนอกและภายในประเทศโดยเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกและตัวเลขนักท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปอยู่ระดับ 1,830-1,900 จุด

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งอัตราและจังหวะเวลาการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา การเร่งตัวของการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ และยุโรปและเศรษฐกิจจีนว่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องได้ดังคาดหรือไม่แต่ตลาดได้รับรู้ข่าวไปแล้วหุ้นจึงยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ต่อไป

“หุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามความคาดหวังที่เศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตในระดับค่อนข้างสูงไปในระดับหนึ่งแล้ว จึงมีโอกาสที่หุ้นจะพักตัวเป็นระยะสั้นๆ หรือบางช่วงอาจปรับตัวลง จากข้อมูลที่ออกมาตํ่ากว่าคาด จึงแนะนำให้ใช้จังหวะพักตัวนี้สะสมหุ้นเพิ่มเติม”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,333 วันที่ 21 - 24 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9