บิตคอยน์ คือ หนึ่งในสกุลเงินดิจิตอล (cryptocurrencies) ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดและครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% อ้างอิงจากข้อมูลของ Coinmarketcap ทั้งนี้การปรับขึ้นของบิตคอยน์ ทำให้นักลงทุนบางส่วนเกิดคำถามว่า บิตคอยน์คือสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดใหม่ที่จะมาเทียบเคียงกับทองคำหรือไม่
นักลงทุนทั่วโลกต่างเสียงแตกเกี่ยวกับความเห็นต่อบิตคอยน์ อาทิ ปู่ Warren Buffett เรียกบิตคอยน์ว่า “real bubble” ด้าน เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเจพีมอร์แกน ออกมาเตือนว่า ฟองสบู่บิตคอยน์ จะแตกในที่สุด และจะต้องปิดตัวลง เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่อุปโลกน์ขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เลวร้ายกว่า “การตื่นหัวทิวลิป” ที่เคยเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นภาวะฟองสบู่แตกครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
อย่างไรก็ตามนักลงทุนหลายคนก็ออกมาสนับสนุนเช่นกัน อาทิ มหาเศรษฐี Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PAYPAL และ VENTURE CAPITALIST กล่าวว่า ผู้คนกำลังประเมินบิตคอยน์ตํ่าเกินไปและมองว่าคล้ายคลึงกับทองคำ ขณะที่ ซีเอ็มอี กรุ๊ป อิงค์ เจ้าตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกจะเปิดตัวสัญญาล่วงหน้าสกุลเงินบิตคอยน์ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นการก้าวไปอีกขั้นของตลาดบิตคอยน์
หากเราพิจารณา Market Cap ของสกุลเงินดิจิตอลทุกสกุลทั่วโลกตามรายงานของ Coinmarketcap ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2017 จะพบว่าอยู่ที่ 3.44 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับบิตคอยน์อยู่ที่ 1.92 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ทองคำนั้นตามรายงานจาก Thompson Reuters GFMS ประจำปี 2013 เชื่อกันว่าบนโลกนี้มีทองคำจำนวน 171,300 ตัน ดังนั้นหากคำนวณมูลค่าจากราคาทองคำ ณ วันที่ 4 ธันวาคม Market Cap ของทองคำทั่วโลก คิดเป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือว่า Market Cap ของบิตคอยน์จะยังคงตํ่ากว่าทองคำอยู่ 36 เท่า
ถึงแม้ในขณะนี้ บิตคอยน์จะยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำในการป้องกันความเสี่ยง แต่ต้องยอมรับว่าบิตคอยน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากช่วงต้นปีที่ Market Cap ตํ่ากว่าทองคำถึง 300 เท่า ดังนั้นการเติบโตของบิตคอยน์อาจจะส่งผลต่อตลาดทองคำ ลดทอนศักยภาพในการซื้อของนักลงทุน ถือเป็นอีกปัจจัยที่จะต้องจับตามองในระยะต่อไปหากเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อาจกดดันแรงซื้อเก็งกำไรในทองคำได้ ในทางกลับกันหากปรับตัวลงแรง อาจดึงดูดเม็ดเงินกลับเข้ามาในตลาดทองคำเช่นกัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,320 วันที่ 7 - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560