ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮล ดิ้งส์ฯ (ASP) และประธานกรรมการบริหาร ในบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัสฯ อีกตำแหน่ง
ประวัติการทำงานของเขาในวงการตลาดทุนแล้ว ถือว่าก้องเกียรติ เป็นผู้บริหารที่มองการณ์ไกลและไปก่อน หลาย ๆ กรณีนำพาให้กลุ่มเอเซีย พลัส ประสบความสำเร็จอยู่บนท่ามกลางกระแสวิกฤติเศรษฐกิจ แม้กระทั่งวิกฤติตลาดหุ้นที่ซบเซาแทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับธุรกิจของกลุ่มนี้
หากจะมองย้อนไปกว่าจะมาถึงวันนี้ของ “ก้องเกียรติ” จากวิศวะบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนไปศึกษาต่อที่ The Wharton School, University of Pennsylvania ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
[caption id="attachment_172897" align="aligncenter" width="469"]
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ[/caption]
ในตำแหน่งหน้าที่การงาน หลังจบการศึกษาแล้ว เริ่มทำงานในตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธนาคาร ธนาคารกสิกรไทย ในช่วงปี 2527-2531 จากนั้นเข้าร่วมงานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แบริ่ง รีเสิร์ชฯ สำนักงานผู้แทน เข้ามาโลดแล่นอยู่ในตลาดทุนหลายปี แล้วขยับขยายตำแหน่งหน้าที่การงานเข้าสู่บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัสฯ แต่ช่วงจังหวะหนึ่ง ในปี 2547-2550 ก้องเกียรติมีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและกรรมการบริหาร ควบ คู่กับการทุ่มทำงานให้ บล.เอเซียพลัสฯ ตั้งแต่นั้นมาถึงปัจจุบัน
ด้วยวิสัยทัศน์การบริหารงาน ตลอดจนการลงทุน ก้องเกียรติ ได้รับเลือกเป็น The Best CEO และได้รับเลือก เป็น 1 ใน 100 “ผู้นำทางธุรกิจของโลกในอนาคต” จาก World Economic Forum
จากรางวัล การันตีการบริหารงานของ ASP ได้อย่างดี บทพิสูจน์อย่างดียิ่ง ไม่ว่าธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์, ธุรกิจที่ปรึกษาการเงิน-การลงทุน (วาณิชธนกิจ) หรืองานวิเคราะห์-วิจัยการลงทุน ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมนี้ ภายใต้การนำของเขา และจากบทบาทผู้นำธุรกิจที่แข็งแกร่ง จะเห็นว่าก้องเกียรติ มักจะใส่คุณภาพ เป็นตัวปรุงหลัก หลายธุรกิจนํ้าดี ที่ผ่านการคัดกรองจาก บล.เอเซีย พลัสฯ เข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นไทย หากไม่ติดลมบน ก็ไม่ทำให้นักลงทุนขาดทุนจากหุ้นจอง
การมองให้ไกล แล้วนำไปก่อน จึงทำให้ “ก้องเกียรติ & เอเซีย พลัส” สามารถชนะการลงทุนที่มากกว่า 2-3 เท่าตัว ถือว่าการบริหารของเขา มักจะเป็นผู้นำที่ลงมือทำนำไปก่อนค่ายอื่นเสมอๆ ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งการเป็นที่ปรึกษาควบรวมกิจการ หรือ M&A เป็นผลงานอันโดดเด่นของ “ก้องเกียรติ & เอเซีย พลัส” ที่ไม่ตกยุคและใช้ได้ถึงวันนี้, การออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษนอกจากก้องเกียรติ จะบุกเบิกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบอพาร์ตเมนต์ ยังพาเศรษฐีเมืองไทย เงินเหลือใช้หลายคน ออกไปลงทุนด้วย
จากอสังหาริมทรัพย์ มุ่งสู่การลงทุนสตาร์ตอัพ ซึ่งเขาบอกว่า การลงทุนสตาร์ตอัพ ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น หากเห็นโอกาสการลงทุน เช่นที่ประเทศอิสราเอล ซึ่งเข้าไปปูพรมในธุรกิจไอทีแล้ว ผ่านการลงทุนในกองทุน รวมทั้งการหากิจการดีๆ ขายให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนที่กำไรอู้ฟู่ ในบริษัท เทนเซ็นต์ฯ(TENCENT) บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดของประเทศจีน มีมูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) 12 ล้านล้านบาท ปัจจุบันนี้สามารถทำกำไรได้เกือบ 3 เท่าตัวของเงินลงทุน
“โลกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สิ่งที่ผมทำล่วงหน้าตลอดชีวิต ทั้ง M&A , งานไอบี, รีเสิร์ช พอร์ตลงทุนในต่างประเทศ เพราะมองเห็นว่าค่าคอมมิสชันซื้อขายหุ้น มีการแข่งขันรุนแรงเกินเหตุ เรา (ASP) ไม่แข่งขันราคา แต่กระจายธุรกิจ สร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้าส่วนบุคคล การเป็นคนที่ชอบดูเทรนด์ (แนวโน้ม) ธุรกิจ ทำให้เราได้เปรียบในการทำก่อน ซึ่งในประเทศอังกฤษ 5 ปีก่อนไปดูการลงทุนยกตึกลงทุน ขณะนี้ได้ผลตอบแทนดีมาก ไม่ตํ่ากว่า 50-60% วันนี้หากจะขายได้กำไร 100% ของเงินปอนด์” ก้องเกียรติ ปลื้มอกปลื้มใจ
“ก้องเกียรติ” ยังเป็นอาร์ตตัวพ่อ ที่ชอบสะสมงานศิลปะของศิลปินดัง ทั้งงานปฏิมากรรมและงานเขียนทุกชนิด เป็นรางวัลให้กับชีวิต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,275 วันที่ 2 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560