ธุรกิจหลักทรัพย์เหนื่อยอีกนาน บล.กสิกรไทยฯมุ่งเพิ่มคุณภาพ หวังผลระยะยาว สมาคมบล.เปิดผลงานอุตสาหกรรม หลักทรัพย์ฟาดกำไร 2,512 ล้านบาท โต28.8% ฟันกำไรจากเทรดอนุพันธ์ 1,153 ล้านบาท
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ยากมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)โดยรวมเติบโตไม่มากนักและภาวะตลาดหุ้นก็ไม่ง่ายที่จะทำธุรกิจ แต่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุน พัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งกลุ่มที่อยากคุยกับมาร์เก็ตติง และกลุ่มที่หาข้อมูลในการลงทุนเอง
“เรามีแม่เป็นธนาคารกสิกรไทย ก็มีโอกาสได้รับลูกค้าใหม่ๆ เช่นเจ้าของธุรกิจ ที่ไม่สะดวกติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จึงต้องการมาร์เก็ตติงที่มีความรู้ และบริษัทยังต้องพัฒนาคุณภาพงานวิจัย การพัฒนาระบบข้อมูลและแอพพิเคชั่น เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาข้อมูลได้สะดวกและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นพร้อมสามารถตรวจสอบคุณภาพพอร์ตการลงทุนได้ด้วย เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจตัวเอง รู้สไตร์การลงทุน สามารถทราบผลตอบแทนจากหุ้นและเงินปันผลได้เรียลไทม์”นายธิติกล่าว
[caption id="attachment_160412" align="aligncenter" width="334"]
ธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)[/caption]
ขณะเดียวกันบริษัทต้องสร้างระบบ เอื้ออำนวยต่อการทำงานของมาร์เก็ตติงเช่น การอนุมัติที่รวดเร็ว กรณีลูกค้าขอวงเงินเพิ่มขึ้น งานวิจัยในการสนับสนุนการให้คำแนะนำและการลงทุนของลูกค้า มีการลงทุนในเรื่องของการวางระบบและพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูง
“ธุรกิจของเราอยู่ได้ ข้อดีคือการเป็นลูกของธนาคารกสิกรไทย ช่วยได้เยอะ และฐานลูกค้าของกสิกรที่แตกต่างจากบล.อื่น แต่ การทำธุรกิจหลักทรัพย์ยากกว่าการทำธุรกิจบริหารเงิน เนื่องจากมีกติกาและหลักเกณฑ์ไม่ชัดเจน ปัญหาเรื่องมาร์เก็ตติงลาออก ก็มีออกไปบ้าง “มาร์เก็ตติงของเรามีออกไปบ้าง แต่เราต้องทำองค์กรให้น่าอยู่”นายธิติกล่าว
ด้านสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ไทย ในไตรมาส 1/2560 มีกำไรสุทธิ รวม ทั้งสิ้น 2,512 ล้านบาท เติบโต 28.8% จากที่มีกำไรรวม 1,951 ล้านบาทในไตรมาส 1/2559 และมี รายได้รวม 11,110 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10.8% จากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 10,023 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 5.9% จาก 7,531 ล้านบาท เป็น 7,975 ล้านบาท
ส่วนแหล่งที่มาของรายได้ของภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ มาจากรายได้ค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 6,537ล้านบาท เติบโต 3.8% จากจำนวน 6,300ล้านบาท รายได้ค่านายหน้าธุรกิจอนุพันธ์ ลดลง 17.3% จาก 630 ล้านบาท เป็น 521 ล้านบาท รับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ เติบโตถึง 421% จาก 73 ล้านบาท เพิ่มเป็น 381 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงิน เพิ่มขึ้น 62.9% จาก 151 ล้านบาทเป็น 246 ล้านบาท
นอกจากนั้นยังมีกำไรจากการซื้อขายอนุพันธ์ถึง 1,153 ล้านบาท เติบโตกว่า 10,381% และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 64% เหลือเพียง 399 ล้านบาท ส่วนกำไรจากดอกเบี้ยและเงินปันผล เพิ่มขึ้น 24% เป็น 871ล้านบาท “ในไตรมาส 1/2560 ค่าคอมมิสชันทั้งระบบอยู่ที่ 0.12% ลดลงจากอัตรา 0.13%”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,269 วันที่ 11 - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560