เปิด 7 ปัจจัยเสี่ยงปีม้า กด GDP ไทยยังโตต่ำ ยืนตำแหน่ง “ผู้ป่วยอาเซียน”

30 ธ.ค. 2568 | 22:15 น.

ผู้เชี่ยวชาญชี้ปี 2569 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญ 7 ปัจจัยเสี่ยงรอบทิศ ตั้งแต่ความตึงเครียดการเมือง ภาษีทรัมป์ ภัยพิบัติ หนี้ครัวเรือนสูง เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จีดีพีโตต่ำ กดดันให้ไทยยังเป็น “ผู้ป่วยอาเซียน” แม้มีปัจจัยบวกจากท่องเที่ยวและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หาเสียงเลือกตั้งสะพัดมากกว่าหมื่นล้าน

KEY

POINTS

  • คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2569 (ปีม้า) จะขยายตัวในระดับต่ำที่ 1.2-1.5% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดโควิด และยังคงสถานะ “ผู้ป่วยแห่งอาเซียน”
  • ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่สำคัญคือเศรษฐกิจโลกและจีนชะลอตัว หนี้สาธารณะของประเทศพัฒนาแล้วที่สูง และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่หยุดชะงัก
  • ปัจจัยเสี่ยงภายในและภูมิภาคประกอบด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อกระทบความเชื่อมั่น และความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ปี 2569 หรือปีมะเมีย (ปีม้า) เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญปัจจัยลบหรือปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัมจากปี 2568 ที่คาดว่ายังขยายตัวในอัตราต่ำที่ระดับไม่เกิน 2% เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ส่งออกไทยไปสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดอันดับ 1 มีแนวโน้มลดลงจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอีก 19% และจะมีผลบังคับใช้ไปตลอดทั้งปี เงินบาทแข็งค่าทำให้สินค้าไทยแพงกว่าคู่แข่งขัน การเมืองสู่โหมดเลือกตั้ง เกิดสุญญากาศในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อ กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 คาดจะขยายตัวได้ระหว่าง 1.2-1.5% หรือเฉลี่ยที่ 1.3% ถือเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดโควิดเป็นต้นมา ส่วนการส่งออกซึ่งมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)มากที่สุด คาดจะขยายตัวได้ที่ประมาณ 5.5% โดยมีมูลค่า 332,841-338,245 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เทียบกับปี 2568 ประเมินเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทยจะขยายตัวได้ 1.8-1.9% หรือขยายตัวต่ำสุดในรอบ 4 ปี (นับตั้งแต่ปี 2565) ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 4/2568 จะเป็นไตรมาสชี้ขาดว่า GDP ปี 2568 มีโอกาสอัตราการขยายตัวถึง 2% หรือไม่ เพราะในไตรมาสที่ 4 มีเหตุการณ์ทั้งส่งผลทางบวก เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และทางลบ เช่นน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ และการยุบสภา ที่ส่งผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ส่วนการส่งออกปี 2568 ประเมินว่าจะมีอัตราการขยายตัว 10.5% มูลค่า 317,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ดีตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีไทยในปี 2568-2569 ถือเป็นอัตราการขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง เพราะที่ผ่านมาระหว่างปี 2547 –2555 ศักยภาพเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 5.0-5.5% ขณะที่ระหว่างปี 2564-2568 ศักยภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัวเหลือเพียง 3.3-3.5%

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

"เหตุผลที่ช่วง 5 ปีหลัง ศักยภาพ GDP ไทยขยายตัวต่ำมีปัจจัยสำคัญจากภาคการส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนภาคเอกชนซบเซา FDI ลดลงเฉลี่ยจาก 3% เหลือ 2% ของ GDP (ระหว่างปี 2543-2553 กับ 2554-2567) การเข้าสู่สังคมสูงอายุกระทบกำลังแรงงาน และขาดนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะงบประมาณการวิจัยของไทยยังต่ำ”

รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2568 ตามการคาดการณ์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่น ๆ (ไม่รวมเมียนมา) เศรษฐกิจไทยคาดมีอัตราการขยายตัวในปี 2568 ต่ำที่สุดในอาเซียน อยู่ที่ 2.0% ซึ่งส่งผลให้ไทยยังคงเป็น “ผู้ป่วยอาเซียน” เหมือนเดิม

เปิด 7 ปัจจัยเสี่ยงปีม้า กด GDP ไทยยังโตต่ำ ยืนตำแหน่ง “ผู้ป่วยอาเซียน”

ต่อคำถามปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยปี 2569 มีอะไรบ้างนั้น ดร.อัทธ์ กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยปี 2569 ประกอบด้วย

1.การท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical) การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและ การฟื้นฟูร่างกาย–จิตใจ (Wellness) และการท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long-stay)

2.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการคมนาคม รถไฟ ราง ท่าเรือ โครงการใน EEC เป็นต้น

3.การย้ายฐานการผลิตของต่างชาติ (FDI Relocation) ภายใต้ China+1 และหนีความเสี่ยงทางการค้า (Trade risk) เป็นต้น

4.ความต้องการสินค้าจากสังคมผู้สูงวัยและรักสุขภาพ ที่ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี

5.เม็ดเงินจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ ทั้งจากงบประมาณการจัดการเลือกตั้งและงบหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งคาดว่าในช่วงการเลือกตั้งจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการผลิตของกลุ่ม SMEs ที่เกี่ยวข้องกับการหาเสียง

ขณะที่มีปัจจัยลบที่ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวล และต้องติดตาม ใน 7 เรื่อง ได้แก่

1.การสู้รบไทย-กัมพูชาที่แม้จะหยุดยิง แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการท่องเที่ยว

2.การเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐอเมริกาที่ยังคารังคาซัง และระงับการเจรจาหลังปัญหาไทย-กัมพูชายังยืดเยื้อ

3.หนี้ครัวเรือนที่สูง บั่นทอนการบริโภคภายในประเทศ

4.ภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วมหรือ ภัยแล้งที่ยังไม่น่าไว้ใจ และต้องติดตาม

5.เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

6.เศรษฐกิจจีนหนึ่งในหัวจักรเศรษฐกิจโลก มีปัญหาเศรษฐกิจ และเข้าใกล้ภาวะเงินฝืด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จีนหลายรายมีปัญหาภาระหนี้สะสมสูงและเสี่ยงผิดนัด

7.หนี้สาธารณะประเทศพัฒนาแล้วสูง ฉุดเศรษฐกิจโตต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก