GDP ต่ำ หนี้พุ่ง SME ล้ม เอกชนชี้ไทยต้องยกเครื่องเศรษฐกิจทั้งระบบ

28 ธ.ค. 2568 | 07:06 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2568 | 07:08 น.

เอกชน ชี้เศรษฐกิจไทยเหมือนเครื่องยนต์ใกล้ดับ ขาดผู้นำและทีมเศรษฐกิจมืออาชีพ แนะ Reengineering ระบบทั้งภาคเกษตร พลังงาน ราชการ และ SME อย่างจริงจัง

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้าน ทั้ง GDP ที่เติบโตต่ำ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง และธุรกิจ SME โดยเฉพาะร้านอาหารและบริการปิดตัวลงจำนวนมาก
  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาปฏิรูปหรือ "ยกเครื่อง" ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบอย่างจริงจัง แทนการใช้มาตรการระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  • ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญคือการควบคุมราคาพลังงาน ปฏิรูประบบราชการเพื่อลดอุปสรรค และวางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาต้นทุนสินค้าเกษตร
  • รัฐบาลต้องให้ความสำคัญและสนับสนุนภาคธุรกิจ SME อย่างเป็นรูปธรรม เพราะความแข็งแกร่งของ SME คือรากฐานของเศรษฐกิจประเทศที่แข็งแรง

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่เดินติด ๆ ดับ ๆ หรือแทบไม่มี “คนขับ” ที่มีความรู้ ความสามารถ และความตั้งใจจริงในการพาประเทศเดินหน้าอย่างเป็นระบบ ต่างจากหลายประเทศในอาเซียนที่สามารถเร่งเครื่องและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ภาพเศรษฐกิจไทยสะท้อนความอ่อนแรงชัดเจน ทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ต่ำกว่า 2% ติดต่อกันหลายปี หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การท่องเที่ยวที่ชะลอตัว แม้เป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศ ขณะที่ภาคธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะร้านอาหารและบริการ ล้มเลิกกิจการไปเป็นจำนวนมาก

“สิ่งที่อยากเห็นคือ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่มีสติปัญญาและความสามารถ เข้ามา Reengineering ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ใช่แค่เข้ามาเพื่อทำ Maintenance เครื่องยนต์ หรือบริหารการเมืองเป็นหลัก แต่ต้องบริหารเศรษฐกิจอย่างจริงจัง” 

สำหรับภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร เห็นว่าประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีความเข้าใจเชิงลึก และมีความตั้งใจในการบริหารประเทศอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจที่เป็นมืออาชีพ ทำงานแบบบูรณาการ ไม่ใช่เน้นเพียงการจัดอีเวนต์หรือมาตรการระยะสั้นเพื่อพยุงสถานการณ์ แต่ต้องมีแผน มีวิสัยทัศน์ และมียุทธศาสตร์ระยะยาวที่ชัดเจน

ทีมเศรษฐกิจต้องเข้าใจ “ปัญหาที่แท้จริง” ของประเทศ เช่น การแก้ไขกลไกตลาดสินค้าเกษตรแบบบูรณาการ ควบคู่กับความเข้าใจผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นทุกปี ทำให้ราคาพืชผักปรับตัวเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมานาน 3-4 ปี รวมถึงปัญหาอุทกภัยที่เกิดซ้ำซากทุกปีโดยไม่มีการวางโครงสร้างแก้ไขในระยะยาว

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช

“เมื่อเกิดปัญหา เกษตรกรก็ได้รับผลกระทบ ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ค่าครองชีพเพิ่ม และธุรกิจร้านอาหารต้องแบกรับต้นทุนที่ควบคุมได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ” 

นอกจากนี้ อยากขอเสนอให้นโยบายของรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาพลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน และค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่ผลักดันค่าครองชีพและต้นทุนทางธุรกิจให้สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อีกประเด็นสำคัญคือ การปฏิรูประบบราชการให้เป็น “รัฐของประชาชน” ลดขั้นตอน กฎหมาย และใบอนุญาตที่ซ้ำซ้อนและล้าสมัย ซึ่งทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการรู้สึกว่าระบบราชการเป็นผู้มีอำนาจเหนือประชาชน มากกว่าการเป็นผู้ให้บริการและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ

นายสรเทพ กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรมีความสามารถในการสร้างรายได้และดึงเงินเข้าประเทศ มากกว่าการใช้งบประมาณจนหมดในแต่ละปีงบประมาณ พร้อมทั้งต้องเข้าใจเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง และให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม

“ประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแรง คือประเทศที่ SMEs แข็งแรง ไม่ใช่ประเทศที่นโยบายถูกกำหนดโดยกลุ่มทุนหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม”