KEY
POINTS
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามาก แตะระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ ว่า การแข็งค่าดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการไหลเข้าของเงินทุนเพื่อการเก็งกำไรในช่องทางที่มิใช่การค้าและการลงทุนตามปกติ โดยเฉพาะธุรกรรมทองคำและสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องพิจารณาใช้มาตรการเชิงนโยบายที่เข้มข้น ทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมกฎระเบียบเพื่อสกัดการเก็งกำไรในระยะถัดไป
โดยการที่เงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบภาคการส่งออกของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวจากปัจจัยภายนอกและภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข็งค่าของเงินบาทที่เคลื่อนไหวในระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและผู้ส่งออกแสดงความต้องการอย่างชัดเจนว่า ค่าเงินบาทที่เหมาะสมต่อการรักษาอัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขันควรอยู่ในช่วง 33 ถึง 35 บาทต่อดอลลาร์ การที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเข้าใกล้หรือต่ำกว่าระดับ 31 บาท จึงถือเป็นภาวะแข็งค่าเกินไป และเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนผลประกอบการของผู้ประกอบการส่งออกโดยตรง
ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกคือแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีถัดไป ซึ่งภาพรวมยังคง ไม่มีความชัดเจน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราเดียวกับปีปัจจุบัน หรืออาจจะต่ำกว่าด้วยซ้ำ ปัจจัยหลักที่สร้างความไม่แน่นอนคือผลกระทบที่ต่อเนื่องมาจาก สงครามการค้า (Trade War) และภาวะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศลดลง
นอกจากนี้ สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ การแข็งค่าของเงินบาทที่ระดับ 31 บาท เกิดขึ้นในขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงมีความอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ยังไม่ถึง 2% และตัวเลขการส่งออกและการท่องเที่ยวที่แม้จะฟื้นตัวแต่ยังไม่โดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยความขัดแย้งระหว่างเงินบาทที่แข็งค่าและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่า การแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้มาจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ (Current Account) แต่มาจาก เงินทุนไหลเข้า (Capital Flow) ที่มาจากแหล่งอื่น
ทั้งนี้ การดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทเป็นหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยสามารถดำเนินการได้หลากหลานมิติ
1. การแทรกแซงด้วยวาจา
การใช้มาตรการ แทรกแซงด้วยวาจา ได้ใช้ไปแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้ส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะเข้าดูแลและแก้ไขปัญหาค่าเงิน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทพิสูจน์ให้เห็นว่า มาตรการดังกล่าว ไม่เพียงพอ ที่จะสกัดกั้นแรงเก็งกำไรในตลาด
2. การพิจารณา การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เป็นอีกหนึ่งกลไกที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดแรงจูงใจในการแข็งค่าของเงินบาทได้ โดยกลไกการทำงาน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ แคบลง อีกทั้งยังส่งผลกระทบจะทำให้ลดความน่าดึงดูดใจในการนำเงินสกุลต่างประเทศเข้ามาพักหรือเก็งกำไรในรูปของเงินบาท (Carry Trade) และจะช่วยลดทอนแรงกดดันขาขึ้นต่อค่าเงินบาทในระยะถัดไป
3. การใช้มาตรการทางกฎระเบียบและการควบคุมเงินทุน
เนื่องจากแรงกดดันมาจากเงินทุนเก็งกำไร การใช้มาตรการเชิงนโยบายและกฎหมายจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและสกัดกั้นการไหลเข้าของเงินทุนที่ไม่พึงประสงค์
4 . การแทรกแซงด้วยตัวเงิน (Monetary Intervention)
ท้ายที่สุดแล้ว ธปท. คงจะต้องดำเนินการ แทรกแซงตลาดโดยตรงด้วยตัวเงิน คือการเข้าซื้อดอลลาร์ และขายเงินบาทเพื่อสร้างสมดุลในตลาดและลดความผันผวน อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงนี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ครบวงจร เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการเข้าจัดการค่าเงินเพียงด้านเดียว
อย่างไรก็ตาม ทิศทางของค่าเงินบาทในระยะสั้นจนถึงสิ้นปีจะขึ้นอยู่กับ ความรวดเร็วและประสิทธิภาพของมาตรการที่ทางการไทยจะดำเนินการ โดยคาดว่าค่าเงินบาทในปัจจุบันจะยังคง อยู่แถวระดับ 31 บาท หากมาตรการควบคุมเงินทุนเก็งกำไรและการดำเนินนโยบายทางการเงินมีผลบังคับใช้ ค่าเงินบาทอาจจะปรับตัวอ่อนค่าลงไปสู่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ ได้ภายในสิ้นปี