KEY
POINTS
FTA (Free Trade Agreement) หรือ ความตกลงการค้าเสรี เป็นมาตรการที่ช่วยสร้างแต้มต่อทางการค้าให้กับผู้ประกอบการทางด้านภาษีนำเข้า ขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ เพิ่มมูลค่าการส่งออก รวมถึงกระจายความเสี่ยง ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ โดยการกระจายการส่งออกไปยังประเทศคู่ FTA อื่นๆ แทน
ปัจจุบันประเทศไทยมี FTA ทั้งหมด 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ โดยลงนามกับ ไทย-ศรีลังกา (ฉบับที่ 15) สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (ไทย-เอฟตา) (ฉบับที่ 16) และ ไทย-ภูฏาน (ฉบับที่ 17) เบื้องต้นตั้งเป้ามีผลบังคับใช้ปี 2569
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาไทยสามารถปิดดีลและลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) 3 ฉบับ ส่งให้ผลให้ปัจจุบันไทยมี FTA 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ โดยลงนามกับ FTA ไทย-ศรีลังกา, ไทย-เอฟตา และ ไทย-ภูฏาน โดยตั้งเป้ามีผลบังคับใช้ปี 2569
ทั้งนี้ จะมีการเผยผลรับฟังความเห็นสาธารณะต่อการจัดทำ FTA ไทย-เอฟตา ผ่านเว็บไซต์ของกรม และการจัดสัมมนารับฟังความเห็น จำนวน 5 ครั้ง ณ จังหวัดชลบุรี สงขลา เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนมีนาคม-สิงหาคม 2568 ซึ่งในภาพรวมทุกภาคส่วนเห็นว่า FTA ฉบับนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าและบริการ และลดต้นทุนการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการไทย
รวมทั้งช่วยดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และกระตุ้นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและกระบวนการผลิต ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่ตลาดสหภาพยุโรปต่อไป
นอกจากนี้ กรมฯได้เร่งเดินหน้าเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ อาเซียน-แคนาดา และผลักดันเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และ FTA ไทย-เปรู โดยมุ่งหวังให้การเจรจาคืบหน้าให้มากที่สุด และก้าวไปสู่การปิดดีลเจรจาได้โดยเร็ว
โดยกรมฯได้หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างรอบด้าน เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาและได้รับประโยชน์จากการจัดทำ FTA ให้มากที่สุด
สำหรับการเจรจา FTA กับอียู ยังคงเป็นนโยบายสำคัญลำดับต้นของกระทรวงพาณิชย์และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ที่ผ่านมาเจรจาแล้ว 7 รอบ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการเจรจารอบที่ 8 ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2569 ในภาพรวมการเจรจายังมีความคืบหน้าที่ดี ทำให้ปัจจุบันสรุปได้แล้ว 8 บท (จากทั้งหมด 24 บท)
ในส่วนของการเจรจาเปิดตลาดการค้าระหว่างกัน (การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ) ก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ซึ่งสองฝ่ายยังคงยึดมั่นตามเป้าหมายสรุปผลการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในปี 2569
นางสาวโชติมา เพิ่มเติมว่า กรมยังให้ความสำคัญกับการเจรจายกระดับ FTA ไทย-เปรู และความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และเร่งเจรจาเพื่อปิดดีลการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ในปี 2569 ซึ่งจะเป็นความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก และเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อประเทศคู่ค้าและนักลงทุนทั่วโลกในด้านความพร้อมในการรองรับการลงทุน และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอนาคต
นอกจากนี้ กรมฯอยู่ระหว่างพิจารณาและประเมินข้อดี ข้อเสียและผลกระทบในการจัดทำ FTA กับกลุ่มประเทศสมาชิกคณะมนตรี ความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) สหภาพศุลกากรแอฟริกาตอนใต้ (SACU) กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก (Pacific Alliance)
และตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (MERCOSUR) เป็นต้น
ทั้งนี้ ล่าสุดได้มีการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป.ลาว (Coop ไทย-สปป.ลาว) ครั้งที่ 8 โดยไทยและสปป.ลาว ตั้งเป้าผลักดันการค้าระหว่างกันให้เพิ่มขึ้นถึง 11,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2570 จากปัจจุบันการค้าสองฝ่ายในปี 2567 อยู่ที่กว่า 8,200 ล้านดอลลาร์
ในด้านความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ได้หารือการผลักดันการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงในลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ไทยและสปป.ลาว เป็นเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ผ่านแดนระหว่างอาเซียนกับจีน ทั้งการเชื่อมโยงทางถนน สะพาน และรถไฟ พร้อมขอให้ สปป.ลาว ช่วยดูแลเรื่องการขนส่งสินค้าข้ามแดนและผ่านแดน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนและคำนวณต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ในช่วง 10 เดือน (ม.ค.- ต.ค. 2568) การค้ารวมของไทยกับโลก มีมูลค่ารวม 568,751 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.5% ขณะที่การค้ารวมของไทยกับ 18 ประเทศคู่ FTA มีมูลค่ารวม 337,223 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ 12.9 % คิดเป็นสัดส่วน 59.3% ของมูลค่าการค้ารวมของไทยทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และสินแร่โลหะอื่นๆ และผลิตภัณฑ์