ศุลกากรเล็งรื้อเกณฑ์ลงโทษ ‘สินค้าสวมสิทธิ์' สกัดแปลงถิ่นกำเนิด

21 ธ.ค. 2568 | 23:28 น.

กรมศุลกากรเตรียมเพิ่มเกณฑ์ลงโทษ 'สินค้าสวมสิทธิ์' เทียบเท่าค่าปรับภาษี สกัดแปลงถิ่นกำเนิดเพื่อส่งออก เรียกเชื่อมั่นถิ่นกำเนิดสินค้าไทย

KEY

POINTS

  • กรมศุลกากรเตรียมพิจารณาเพิ่มเกณฑ์การลงโทษปรับให้สูงขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่ปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อการส่งออก
  • สาเหตุที่ต้องเพิ่มโทษเนื่องจากเกณฑ์เดิมเบาเกินไป เพราะสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ไม่มีภาระภาษี ทำให้ค่าปรับไม่สามารถยับยั้งการกระทำผิดได้
  • โทษใหม่ที่พิจารณาอาจมีความรุนแรงเทียบเท่ากับโทษทางภาษี ซึ่งอาจปรับสูงถึง 4 เท่าของอากร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศกำลังเร่งดำเนินการอย่างเข้มงวด เพื่อแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า 

โดยล่าสุด กรมศุลกากรเตรียมหรือคณะกรรมการเปรียบเทียบการฟ้องร้อง ซึ่งมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการคลัง ร่วมพิจารณาเพิ่มเกณฑ์การลงโทษปรับให้สูงขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่แปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออก โดยออกเป็รประกาศกรม 

สำหรับสาเหตุที่จะพิจารณาเพิ่มเกณฑ์ลงโทษ คือ ในอดีตกรมศุลกากรไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายที่รุนแรงกับสินค้าขาออกที่สวมสิทธิ์ได้ เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่มักไม่มีภาระค่าภาษี ทำให้ค่าปรับที่ใช้ในการระงับคดีก่อนหน้านี้เบาเกินไป หรือเป็นเพียงการปรับฐานความผิดจากการสำแดงข้อมูลเป็นเท็จเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เทียบเท่ากับเนื้อภาษี

“เพื่อให้มาตรการมีผลบังคับใช้จริง กรมศุลกากรจึงมีแผนจะเพิ่มเกณฑ์เปรียบเทียบระงับคดี สำหรับกรณีที่มีการแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออก โดยมีการพิจารณาว่า โทษสำหรับความผิดฐานแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า แม้จะไม่มีการหลีกเลี่ยงภาษี เนื่องจากเป็นขาออกก็จะต้องมีโทษด้วย และอาจพิจารณาให้มีโทษที่สูงขึ้น เทียบเท่ากับโทษทางภาษี ซึ่งปกติจะมีการปรับสูงถึง 4 เท่าของอากรที่ขาด” 

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร

สำหรับการเดินหน้าในเรื่องดังกล่าว มีผลในเรื่องความเชื่อมั่นถิ่นกำเนิดสินค้าของไทย โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเกณฑ์โทษนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการและต้องพิจารณาให้รอบด้าน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการรายอื่นที่อาจสำแดงพิกัดหรือข้อมูลผิดพลาดโดยไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยง

ทั้งนี้ ปัจจุบันหน่วยงานรัฐได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทำงานร่วมกันและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างจริงจัง โดยเน้นการตรวจสอบพฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงหลายรูปแบบ เช่น

  1. การใช้เขตปลอดอากร (Free Zone) โดยมีการนำเข้าสินค้าชนิดหนึ่งเข้ามาในเขตปลอดอากร และส่งออกสินค้าชนิดเดียวกันนั้นออกไป ซึ่งบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงในการสวมสิทธิ์
  2. การปลอมแปลง Made in Thailand โดยพบวิธีการเลี่ยงใหม่ๆ โดยมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศและพิมพ์ข้อความ Made in Thailand เข้ามาเลย
  3. การตรวจสอบ Risk Profile ซึ่งหน่วยงานมีการตรวจสอบบริษัทที่มีความเสี่ยง เช่น บริษัทที่นำเข้าและส่งออกสินค้าชนิดเดียวกันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปรรูปสินค้าเลย และมีการส่งข้อมูลความเสี่ยงเหล่านี้ไปยังกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อให้ระมัดระวังในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CEO)