KEY
POINTS
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศกำลังเร่งดำเนินการอย่างเข้มงวด เพื่อแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า
โดยล่าสุด กรมศุลกากรเตรียมหรือคณะกรรมการเปรียบเทียบการฟ้องร้อง ซึ่งมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการคลัง ร่วมพิจารณาเพิ่มเกณฑ์การลงโทษปรับให้สูงขึ้นสำหรับผู้ประกอบการที่แปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออก โดยออกเป็รประกาศกรม
สำหรับสาเหตุที่จะพิจารณาเพิ่มเกณฑ์ลงโทษ คือ ในอดีตกรมศุลกากรไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายที่รุนแรงกับสินค้าขาออกที่สวมสิทธิ์ได้ เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่มักไม่มีภาระค่าภาษี ทำให้ค่าปรับที่ใช้ในการระงับคดีก่อนหน้านี้เบาเกินไป หรือเป็นเพียงการปรับฐานความผิดจากการสำแดงข้อมูลเป็นเท็จเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เทียบเท่ากับเนื้อภาษี
“เพื่อให้มาตรการมีผลบังคับใช้จริง กรมศุลกากรจึงมีแผนจะเพิ่มเกณฑ์เปรียบเทียบระงับคดี สำหรับกรณีที่มีการแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออก โดยมีการพิจารณาว่า โทษสำหรับความผิดฐานแปลงแหล่งกำเนิดสินค้า แม้จะไม่มีการหลีกเลี่ยงภาษี เนื่องจากเป็นขาออกก็จะต้องมีโทษด้วย และอาจพิจารณาให้มีโทษที่สูงขึ้น เทียบเท่ากับโทษทางภาษี ซึ่งปกติจะมีการปรับสูงถึง 4 เท่าของอากรที่ขาด”
สำหรับการเดินหน้าในเรื่องดังกล่าว มีผลในเรื่องความเชื่อมั่นถิ่นกำเนิดสินค้าของไทย โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเกณฑ์โทษนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการและต้องพิจารณาให้รอบด้าน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการรายอื่นที่อาจสำแดงพิกัดหรือข้อมูลผิดพลาดโดยไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยง
ทั้งนี้ ปัจจุบันหน่วยงานรัฐได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทำงานร่วมกันและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างจริงจัง โดยเน้นการตรวจสอบพฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงหลายรูปแบบ เช่น