KEY
POINTS
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2-3% ต่อปี รั้งอันดับท้าย ๆ ของอาเซียน สำหรับปี 2569 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดจีดีพีไทยจะโตเพียง 1.6% ขณะที่ธนาคารโลกประเมิน 1.6-1.7% ปัจจัยฉุดรั้งมาจากการส่งออกชะลอเนื่องจากภาษีนำเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวยังฟื้นไม่เต็มที่ อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแรง การเมืองไม่มั่นคง และข้อพิพาทไทย-กัมพูชายืดเยื้อ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การเติบโตต่ำสะท้อนความล้มเหลวของเศรษฐกิจไทยเทียบกับเพื่อนบ้าน มีปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1.การเมืองไม่นิ่ง นโยบายและแผนปฏิบัติการไม่ชัดเจน ทำให้การดึงดูดการลงทุน นวัตกรรม AI และซอฟต์พาวเวอร์ไม่เกิดผล
2.หนี้ครัวเรือนสูงถึง 87% ต่อจีดีพี กดทับกำลังซื้อและการบริโภค
และ 3. ภาคอุตสาหกรรมและแรงงานปรับตัวช้า ไม่ทันเทคโนโลยีและนวัตกรรมโลก ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านปรับตัวได้เร็วกว่า
“ที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยยังโตได้ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง เปรียบเสมือนนักฟุตบอลที่โค้ชคือรัฐบาลไม่สามารถเค้นฟอร์มหรือดึงศักยภาพที่แท้จริงของประเทศให้แข่งขันกับนานาชาติได้ หรือที่เรียกว่า ‘ฟอร์มตก’ ยิ่งล่าสุดทั้ง IMF แบงก์ชาติ และเวิลด์แบงก์คาดการณ์จีดีพีไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้เพียง 1.6-1.7% เท่านั้น
ขณะที่คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีพาณิชย์คาดการณ์ส่งออกไทยซึ่งมีสัดส่วนต่อจีดีพีมากที่สุดจะสามารถขยายตัวได้ดีที่สุดเพียง 1.1% จากทิศทางเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลง หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะจะทำให้การขยายตัวของจีดีพีไทยยังเติบโตรั้งท้ายอาเซียนต่อไป”
ดร.อัทธ์ วิเคราะห์เปรียบเทียบแนวโน้มเศรษฐกิจไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน พบว่าหลายประเทศมีศักยภาพเติบโตแซงหน้าไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า
โดยอินโดนีเซียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน คาดจีดีพีปี 2568 โต 4.9% และปี 2569โต 5.1% มูลค่า GDP ปี 2568 อยู่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มเป็น 2.08 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2573
เวียดนาม คาดจีดีพีปี 2568 โต 6.5% และปี 2569 โต 6.0% มูลค่า GDP ปี 2568 ราว 4.85 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 6.6 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปี
ขณะที่ สิงคโปร์ คาดโต 2.2% ในปี 2568 และ 1.5% ในปี 2569 โดย GDP ปี 2568 อยู่ที่ 5.74 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 7.21 แสนล้านดอลลาร์
ส่วน ฟิลิปปินส์ คาดจีดีพีปี 2568 โต 5.4% และปี 2569 โต 5.8% มูลค่า GDP ปี 2568 ราว 4.94 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น 7.5 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปี
ขณะที่ ไทย คาดจีดีพีปี 2568 โตเพียง 2.0% และปี 2569 โต 1.6% โดยมูลค่า GDP ปี 2568 อยู่ที่ 5.59 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็นราว 6.5 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปี หรือเพิ่มขึ้นเพียง 9.14 หมื่นล้านดอลลาร์
ดร.อัทธ์ ระบุว่า นอกจากอินโดนีเซียจะยังครองอันดับ 1 ของอาเซียนแล้ว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสิงคโปร์มีแนวโน้มแซงไทยในด้านมูลค่า GDP โดยเวียดนามได้เปรียบจากเสถียรภาพการเมือง นโยบายลงทุนชัดเจน และแรงงานวัยทำงานจำนวนมาก ขณะที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่น่าจับตา จาก FDI ที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง การเมืองมีเสถียรภาพ ผู้นำอยู่ครบวาระ ศักยภาพแรงงานด้านภาษาอังกฤษสูง และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยีและ AI จากสหรัฐอเมริกาเข้าไปลงทุนจำนวนมาก หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำ มีความเสี่ยงถูกแซงในไม่กี่ปีข้างหน้า
หากวิเคราะห์รายได้ต่อหัวต่อคนต่อปีของประเทศในอาเซียนในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2573) พบว่าสิงคโปร์จะมีรายได้ต่อหัวสูงสุดที่ 120,166 ดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือมาเลเซีย 14,720 ดอลลาร์ ฟิลิปปินส์ 9,700 ดอลลาร์ และเวียดนาม 6,000 ดอลลาร์ ขณะที่ไทยและอินโดนีเซียจะอยู่ที่ราว 5,700 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี
ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศเดียวที่รายได้ต่อหัวมีแนวโน้มลดลง จากปี 2568 ที่คาดเฉลี่ย 7,700 ดอลลาร์ต่อคน เหลือ 5,700 ดอลลาร์ในปี 2573 หรือลดลงราว 2,000 ดอลลาร์ต่อคน สะท้อนปัญหาการขยายตัวของจีดีพีที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ความสามารถในการสร้างรายได้ต่อหัวของประชาชนลดลงเมื่อเทียบกับปี 2568
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าหากจีดีพีไทยปี 2569 ขยายตัวเพียง 1.6% ตาม IMF และ ธปท. คาดการณ์ ไทยซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าจีดีพีอันดับ 2 ของอาเซียน อาจถูกเวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์แซงหน้า ทำให้หล่นไปอันดับ 5 ของภูมิภาค
เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นต้องเร่งแก้ไขทุกมิติ ทั้งเสถียรภาพการเมือง ความต่อเนื่องของนโยบาย การกระตุ้นเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเข้าสู่ภาคที่มีมูลค่าเพิ่มสูง นำ AI และนวัตกรรมมาใช้ และปรับกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
“ปัจจุบันไทยยังติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง หากไม่เร่งดำเนินการ การก้าวสู่รายได้สูงกว่า 13,000 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี อาจต้องใช้เวลาอีก 30-40 ปี เนื่องจากอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มต่ำและมีกำไรจำกัด”
ขณะที่รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยว่า รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด รายได้ต่อหัวคนไทยปี 2568 คาดอยู่ที่ 8,139 ดอลลาร์ (ราว 267,783 บาท) ลดลงจากการประเมินก่อนหน้านี้ และต่ำกว่าเป้าหมายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 9,300 ดอลลาร์ (300,000 บาท) ต่อปีในปี 2570 สำหรับปี 2569 รายได้ต่อหัวคาดเพิ่มเล็กน้อยเป็น 8,421 ดอลลาร์ (273,693 บาท) ขณะที่ GDP คาดชะลออยู่ที่ 1.7%
สศช.เสนอแนวทางรักษาและเพิ่มรายได้ต่อหัวคนไทยต่อเนื่อง ได้แก่ 1. เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 ให้ไม่ต่ำกว่า 75% ของกรอบงบลงทุน รวมถึงเตรียมงบปี 2570 2. เร่งรัดการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ปรับมาตรการความปลอดภัย เพิ่มเที่ยวบิน เปิดเส้นทางใหม่ และส่งเสริมเมืองรอง 3. ดูแลภาคเกษตร ฟื้นฟูเกษตรกรจากอุทกภัย เตรียมรองรับผลผลิต และบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ขับเคลื่อนส่งออก ลดต้นทุน เพิ่มตลาดใหม่ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ และบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 5. เร่งรัดลงทุนภาคเอกชน ดึงการลงทุนจริง สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ และใช้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงทางการค้า 6. แก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของธุรกิจและครัวเรือน โดยสนับสนุน SMEs และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และ 7. รักษาบรรยากาศเศรษฐกิจและการเมืองช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง