ส.อ.ท.วิเคราะห์ฉากทัศน์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงยืดเยื้อเสี่ยงต่อรายได้-หนี้สิน

11 ธ.ค. 2568 | 06:37 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2568 | 06:40 น.

ส.อ.ท.วิเคราะห์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ฉากทัศน์แย่สุดยืดเยื้อ 30 วันเสี่ยงต่อรายได้ครัวเรือน และหนี้สิน

KEY

POINTS

  • ส.อ.ท. ประเมินสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต่ำกว่าวันละ 500 ล้านบาท และทำให้การค้าชายแดนหดตัวลงถึง 99.5%
  • มีการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็น 2 ฉากทัศน์ คือ หากสถานการณ์ยุติภายใน 10 วัน ผลกระทบจะจำกัดวง แต่หากยืดเยื้อเกิน 1 เดือน ความเสียหายจะขยายวงกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ส.อ.ท. มีความกังวลว่าหากสถานการณ์ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ และการจ้างงาน ซึ่งจะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านรายได้และหนี้สินของประชาชน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งกับ "เศรษฐกิจ" ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจชายแดน การดำรงชีวิตของประชาชน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายมิติ

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ความตึงเครียดในครั้งนี้มีลักษณะของการยั่วยุ การละเมิดสนธิสัญญาออตตาวา เกี่ยวกับการลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารในเขตประเทศไทย ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บขาขาดถึง 7 ราย 

และการใช้กำลังโจมตีที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการปะทะทางทหาร รวมถึงก่อให้เกิดความสูญเสียต่อกำลังพลของฝ่ายไทย โดยถือเป็นประเด็นที่กระทบต่ออธิปไตยและความปลอดภัยของประเทศโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยเราไม่สามารถยอมรับได้ถึงแม้จะมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว

ในภาพรวม ส.อ.ท. ประเมินว่าการปะทะชายแดนครั้งล่าสุดส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งสถานะปัจจุบันจากการปิดด่านที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต่ำกว่าวันละ 500 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายและการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาลดลงเหลือเพียง 0.5% หรือกล่าวได้ว่ากิจกรรมทางการค้าหดหายไปถึง 99.5%

ส.อ.ท.วิเคราะห์ฉากทัศน์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงยืดเยื้อเสี่ยงรายได้-หนี้สิน

ขณะเดียวกันในช่วง 10 เดือนแรกของปี (มกราคม–ตุลาคม) มูลค่าการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา มีมูลค่ารวม 95,554 ล้านบาท ลดลง 36.68% โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกที่อยู่ที่ 72,844 ล้านบาท ลดลงในอัตราเดียวกัน สะท้อนผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และแรงงานในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

จากการปะทะกันรอบ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนที่สุด คือ การต้องอพยพประชาชนชาวไทยออกนอกพื้นที่เสี่ยงในหลายจังหวัดชายแดนเป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและความปลอดภัย การอพยพดังกล่าวทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนหยุดชะงักอย่างรุนแรง ทั้งภาคการค้า การบริการ การท่องเที่ยว การเกษตร และการจ้างงาน ส่งผลให้เศรษฐกิจชายแดนหดตัวลง

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ส.อ.ท.ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจใน 2 ฉากทัศน์ของสถานการณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมเชิงนโยบายและมาตรการรองรับ ดังนี้ 

  • ฉากทัศน์ที่ 1 สถานการณ์ยุติภายใน 10 วัน หากภารกิจด้านความมั่นคงสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว และสถานการณ์คลี่คลายภายในระยะเวลาอันสั้น คาดว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมจะยังอยู่ในวงจำกัด โดยความเสียหายจะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ชายแดนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้โดยเร็ว
  • ฉากทัศน์ที่ 2 สถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 1 เดือน หากสถานการณ์ความตึงเครียดยังคงยืดเยื้อออกไป จะส่งผลให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจขยายวงกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่จะสูญเสียรายได้ต่อเนื่อง ธุรกิจบริการ โรงแรม และร้านอาหารในพื้นที่ชายแดนจะเผชิญปัญหาสภาพคล่อง ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกิจการในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่พึ่งพาการค้าชายแดน จะเผชิญความไม่แน่นอนสูง เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อสินทรัพย์ และแรงงาน ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบจากการที่เกษตรกรไม่สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตามปกติ นำไปสู่ความเสี่ยงต่อรายได้ครัวเรือนและหนี้สิน 

ส.อ.ท.วิเคราะห์ฉากทัศน์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงยืดเยื้อเสี่ยงรายได้-หนี้สิน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในทุกฉากทัศน์ ภาครัฐต้องดำเนินการบนหลักการ โดยให้ความสำคัญกับ การรักษาอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อน ควบคู่กับการเตรียมมาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพื่อรองรับผลกระทบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนอย่างรวดเร็วและตรงจุด ทั้งการชดเชยความเสียหาย การช่วยเหลือด้านรายได้ การพักชำระหนี้ การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการดูแลแรงงานและกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งการเรียกขวัญและกำลังใจ

ท้ายที่สุด ภาคอุตสาหกรรมเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องบริหารจัดการสถานการณ์ด้วยความรอบคอบ หนักแน่น  รวดเร็วและมีเอกภาพ  พร้อมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาจะยุติลงโดยเร็ว เพื่อจำกัดความสูญเสีย และนำเศรษฐกิจชายแดนของไทยกลับสู่ภาวะปกติอย่างยั่งยืน