KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งกับ "เศรษฐกิจ" ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจชายแดน การดำรงชีวิตของประชาชน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายมิติ
ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ความตึงเครียดในครั้งนี้มีลักษณะของการยั่วยุ การละเมิดสนธิสัญญาออตตาวา เกี่ยวกับการลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารในเขตประเทศไทย ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บขาขาดถึง 7 ราย
และการใช้กำลังโจมตีที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดการปะทะทางทหาร รวมถึงก่อให้เกิดความสูญเสียต่อกำลังพลของฝ่ายไทย โดยถือเป็นประเด็นที่กระทบต่ออธิปไตยและความปลอดภัยของประเทศโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยเราไม่สามารถยอมรับได้ถึงแม้จะมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว
ในภาพรวม ส.อ.ท. ประเมินว่าการปะทะชายแดนครั้งล่าสุดส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งสถานะปัจจุบันจากการปิดด่านที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นไม่ต่ำกว่าวันละ 500 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายและการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาลดลงเหลือเพียง 0.5% หรือกล่าวได้ว่ากิจกรรมทางการค้าหดหายไปถึง 99.5%
ขณะเดียวกันในช่วง 10 เดือนแรกของปี (มกราคม–ตุลาคม) มูลค่าการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา มีมูลค่ารวม 95,554 ล้านบาท ลดลง 36.68% โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกที่อยู่ที่ 72,844 ล้านบาท ลดลงในอัตราเดียวกัน สะท้อนผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และแรงงานในพื้นที่ชายแดนโดยตรง
จากการปะทะกันรอบ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นมา ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนที่สุด คือ การต้องอพยพประชาชนชาวไทยออกนอกพื้นที่เสี่ยงในหลายจังหวัดชายแดนเป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและความปลอดภัย การอพยพดังกล่าวทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนหยุดชะงักอย่างรุนแรง ทั้งภาคการค้า การบริการ การท่องเที่ยว การเกษตร และการจ้างงาน ส่งผลให้เศรษฐกิจชายแดนหดตัวลง
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ส.อ.ท.ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจใน 2 ฉากทัศน์ของสถานการณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมเชิงนโยบายและมาตรการรองรับ ดังนี้
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในทุกฉากทัศน์ ภาครัฐต้องดำเนินการบนหลักการ โดยให้ความสำคัญกับ การรักษาอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อน ควบคู่กับการเตรียมมาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพื่อรองรับผลกระทบอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเร่งเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนอย่างรวดเร็วและตรงจุด ทั้งการชดเชยความเสียหาย การช่วยเหลือด้านรายได้ การพักชำระหนี้ การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการดูแลแรงงานและกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งการเรียกขวัญและกำลังใจ
ท้ายที่สุด ภาคอุตสาหกรรมเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องบริหารจัดการสถานการณ์ด้วยความรอบคอบ หนักแน่น รวดเร็วและมีเอกภาพ พร้อมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาจะยุติลงโดยเร็ว เพื่อจำกัดความสูญเสีย และนำเศรษฐกิจชายแดนของไทยกลับสู่ภาวะปกติอย่างยั่งยืน