KEY
POINTS
เหตุปะทะและความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ได้ลุกลามเป็นวิกฤต กระทบทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และวิถีชีวิตประชาชนในวงกว้าง การค้าชายแดนหยุดชะงัก ขณะที่ผู้ประกอบการ–นักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทันทีจากการยกเลิกเดินทาง และเส้นทางขนส่งที่ไม่ปลอดภัย
ด้านมนุษยธรรม ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพหนีภัย ทรัพย์สินเสียหายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนดูแลพื้นที่และการฟื้นฟูเพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์ที่ยังไม่มีทิศทางคลี่คลายนี้ จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดทั้งในมิติความมั่นคงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เหตุปะทุในรอบใหม่นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า ซัพพลายเชนของนักลงทุน ท่องเที่ยว รวมถึงชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชนตลอดแนวชายแดนของทั้งสองประเทศอย่าง ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้จากการประเมินผลกระทบต่อการค้าชายแดนตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ที่เกิดการปะทะรอบแรก (สิ้นสุดลงในวันที่ 28 ก.ค.) จนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2568 (ที่การปะทะในรอบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น) ส่งผลกระทบไทยสูญรายได้จากการส่งออกไปกัมพูชามูลค่าประมาณ 84,640 ล้านบาท (ช่วงสถานการณ์ปกติก่อนหน้านี้ไทยส่งออกไปกัมพูชาเฉลี่ย 610 ล้านบาทต่อวัน) และกระทบกัมพูชาสูญรายได้ส่งออกมาไทยประมาณ 12,000 ล้านบาท
“ตัวเลขการส่งออกที่ลดลงดังกล่าวของทั้งสองฝ่ายส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยหายไป 0.45% และกระทบจีดีพีกัมพูชาหายไป 0.8% ซึ่งกระทบจีดีพีกัมพูชามากกว่าไทย เนื่องจากขนาดจีดีพีกัมพูชาน้อยกว่าไทย (กัมพูชามีขนาดมูลค่าจีดีพีประมาณ 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้หากการปะทะรุนแรงสามารถยุติได้ภายใน 10 วัน (ภายใน 17 ธ.ค.) การปะทะทั้งสองรอบจะทำให้ส่งออกไทยไปกัมพูชาหายไปกว่า 90,000 ล้านบาท”
ขณะเดียวกันรายได้จากกาสิโนของกัมพูชาที่มีประมาณ 20 แห่งตามแนวชายแดนที่ติดกับ 7 จังหวัดของไทยยังได้รับผลกระทบต้องปิดตัว ซึ่งหากคำนวณตัวเลขนับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้กัมพูชายังสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ไม่เข้าไปท่องเที่ยวในกัมพูชาอีกประมาณ 17,700 ล้านบาท (รวม 2 รอบของการปะทะ)
ส่วนผลกระทบทางอ้อมด้านการลงทุน อุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงไทย–กัมพูชาของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) โดยส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่จำเป็นต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากกัมพูชาเข้ามาประกอบและจำหน่ายในไทย รวมถึงส่งออก เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม จะได้รับผลกระทบที่ยืดเยื้อออกไปอีก เพราะด่านชายแดนยังปิด ไม่สามารถขนส่งสินค้าไปมาได้
“ที่พอประเมินได้คือผลกระทบด้านการค้า การท่องเที่ยว และลงทุน แต่ในส่วนของชีวิตของทหารและทรัพย์สินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ยังไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ หากสถานการณ์ไม่ยุติภายใน 10 วัน และไม่มีการเจรจาหยุดยิง หรือจบในรอบนี้ และยังยืดเยื้อออกไป จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และจะยังเป็นปัญหาคาราคาซังต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนไทย”
นอกจากนี้ ที่น่าจับตา การเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย–สหรัฐจะยังคงลากยาว ยิ่งรัฐบาลจะมีการยุบสภาภายในเดือนนี้หรือเดือนหน้า จะทำให้สหรัฐไม่อยากเจรจากับรัฐบาลรักษาการ และมีโอกาสที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอาจจะใช้เป็นเหตุในการพิจารณาปรับขึ้นภาษีสินค้าไทยสูงกว่า 19% ในปัจจุบัน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งสร้างความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชนและกระทบกิจกรรมเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างรุนแรง โดยสถานการณ์ล่าสุดมีการยั่วยุและละเมิดสนธิสัญญาออตตาวา จากการลักลอบวางทุ่นระเบิดในเขตไทย ส่งผลให้ทหารบาดเจ็บขาขาด 7 นาย และมีการโจมตีด้วยกำลังทหารจนเกิดการสูญเสีย ซึ่งกระทบต่ออธิปไตยของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์แล้วก็ตาม
ส.อ.ท. ประเมินการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชาครั้งล่าสุดทำให้เศรษฐกิจชายแดนเสียหายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อวัน ปัจจุบันการค้าชายแดนลดลงเหลือเพียง 0.5% ของปกติ หรือกล่าวได้ว่ากิจกรรมทางการค้าหดหายไปถึง 99.5% ขณะที่ยอดรวมมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนช่วง 10 เดือนแรกอยู่ที่ 95,554 ล้านบาท ลดลงถึง 36.68%นอกจากนี้ การปะทะรอบใหม่ตั้งแต่ 7 ธันวาคม ทำให้ชาวบ้านหลายแสนคนต้องอพยพ สร้างผลกระทบต่อภาคการค้า บริการ เกษตร และการจ้างงาน จนเศรษฐกิจชายแดนหยุดชะงัก
“ส.อ.ท. ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจใน 2 ฉากทัศน์ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ในฉากทัศน์แรก หากสถานการณ์ยุติภายใน 10 วัน ความเสียหายจะจำกัดที่พื้นที่ชายแดน แต่ยังจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูบ้านเรือนและช่วยเหลือประชาชน ส่วนฉากทัศน์สอง หากยืดเยื้อเกิน 1 เดือน ผลกระทบจะขยายวงกว้าง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ และภาคเกษตรกรรมที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เสี่ยงต่อรายได้ครัวเรือนและหนี้สินเพิ่มขึ้น”
นายเกรียงไกรย้ำว่า รัฐต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน พร้อมเตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินอย่างเป็นระบบ ทั้งชดเชยความเสียหาย พักหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และดูแลแรงงานกลุ่มเปราะบาง พร้อมสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ได้รับผลกระทบ ภาคอุตสาหกรรมหวังว่าสถานการณ์ชายแดนจะคลี่คลายโดยเร็ว เพื่อลดความสูญเสียและฟื้นเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติอย่างยั่งยืน
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งส่งผลต่อบรรยากาศท่องเที่ยวทันที โดยกระทบด้านจิตวิทยา การตัดสินใจของเอเย่นต์ และเที่ยวบินชาร์เตอร์ที่จะบินเข้าสู่ภาคอีสาน รวมถึงความไม่มั่นใจของเอเย่นต์จีนช่วงตรุษจีน หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่อง 2–3 ปีที่ผ่านมา
“อารมณ์นักท่องเที่ยวไวต่อข่าวสงครามมากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดจีน ไต้หวัน เกาหลี ซึ่งประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของประเทศ แม้พื้นที่สู้รบจะห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ความกังวลด้านโลจิสติกส์ การยกเลิกเที่ยวบิน หรือการควบคุมพื้นที่ ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนชะลอการเดินทาง ด้านระบบจองท่องเที่ยวพบว่ากรุ๊ปทัวร์หยุดจองทันที เส้นทางที่ต้องขับรถใกล้ชายแดนถูกยกเลิก และตลาดจีนจำนวนหนึ่งอาจเปลี่ยนเส้นทางไปประเทศอื่น หากไทยมีความเสี่ยงเพียง 5–10%”
สำหรับการประเมินฉากทัศน์ นายอดิษฐ์มองว่า กรณีที่ 1 หากสงบภายใน 10 วัน ผลกระทบจะจำกัดอยู่ชายแดน และจีดีพีโดยรวมของไทยน่าจะได้รับผลกระทบเพียง 0.05–0.1% รวมถึงอาจมีการยกเลิกทริประดับหมื่นถึงแสนคน แต่ไม่กระทบทั้งปี หากบริหารการสื่อสารได้ดี
กรณีที่ 2 หากยืดเยื้อถึง 20 วัน ผลกระทบจะลุกลามสู่ทั้งระบบ โดยต่างชาติมองเป็น “mini-war” จีดีพีอาจลดลง 0.1–0.3% โดยตลาดท่องเที่ยวไวต่อข่าวลบ โดยเฉพาะในอาเซียน จีน เกาหลี ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งอาจชะลอการเดินทางจำนวนมาก
กรณีที่ 3 หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 1 เดือน จะกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง จีดีพีอาจถูกหั่นศักยภาพการเติบโตลง 0.5–1% ต่อปี ภาพลักษณ์ “ประเทศปลอดภัย” ถูกทำลาย และซัพพลายเชนอาจย้ายบางส่วนไปประเทศอื่น พร้อมเสี่ยงต่อภาระสังคมและงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
นายอดิษฐ์เสนอ 3 แนวทาง ได้แก่ หยุดความรุนแรงด้วยกลไกสันติภาพที่ตรวจสอบได้, สร้าง Border Zone เพื่อผลประโยชน์ร่วมหลังสงคราม และสื่อสารวิกฤตแบบมืออาชีพผ่านศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อลดข่าวลือและรักษาความเชื่อมั่น
ด้าน นายมงคล จุลทัศน์ ประธานอาวุโสหอการค้าอุบลราชธานี ระบุว่า การสู้รบกระทบประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะ 3 อำเภอชายแดนที่มีประชากรกว่าแสนคน ขณะนี้อพยพแล้วกว่า 6.5 หมื่นคน อีกหลายหมื่นย้ายไปอยู่กับญาติ แต่การค้าชายแดนของอุบลฯ ได้รับผลกระทบน้อยเพราะค้าหลักกับ สปป.ลาว คาดว่าเศรษฐกิจอุบลราชธานีช่วงปลายปีอาจหดตัว 20–25% และเห็นตรงกับหลายฝ่ายว่า ความขัดแย้งต้องจบอย่างเด็ดขาด เพราะการเจรจาไม่อาจแก้ปัญหาที่สะสมมานานได้
ส่วน นางสาวพูลทรัพย์ เทพนคร ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า บุรีรัมย์เป็นหนึ่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบ เบื้องต้นคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดช่วงปลายปี 2568 ถึงเทศกาลปีใหม่ 2569 มีแนวโน้มหดตัวลงประมาณ 10–15% เพราะผู้ประกอบการรายย่อยตามแนวตะเข็บชายแดนทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปิดตัวลงเกือบ 100%
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจในเขตตัวเมืองที่ไม่ติดแนวปะทะยังแข็งแรงและดำเนินกิจการได้ตามปกติ แม้จะมีการยกเลิกการจองที่พักบ้าง แต่เป็นเพียงส่วนน้อย และเศรษฐกิจในเมืองยังขับเคลื่อนได้ตามภาวะเศรษฐกิจประเทศ กิจกรรมปลายปีต่าง ๆ ยังจัดต่อเนื่อง
ในส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ภาครัฐและเอกชนได้เตรียมการรองรับ มี “พื้นที่ปลอดภัย 100%” สำหรับนักท่องเที่ยว และคาดว่าหลังผ่านเทศกาลปีใหม่ เศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัว
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ประเมินว่าสถานการณ์ปะทะรอบใหม่อาจยืดเยื้อนานหลายเดือน แม้ไทยจะอดทนและพยายามใช้สันติวิธีมาโดยตลอด แต่กลับถูกลักลอบโจมตีและยั่วยุอย่างไม่เป็นธรรม โดยมองว่ายุทธศาสตร์ที่ไทยจำเป็นต้องใช้ในระยะต่อไปคือการมุ่งเป้ากดดันทางทหารให้ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถตอบโต้ได้ต่อเนื่อง เพื่อบีบให้ยอมยุติความรุนแรงและเปิดทางไปสู่การเจรจาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งต้องมีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศของทั้งสองฝ่าย เขาย้ำว่าประชาชนไทยไม่ประสงค์เห็นความสูญเสียและหวังเพียงให้เหตุการณ์ยุติเพื่อความสงบสุขโดยเร็วที่สุด
ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้หยุดอยู่เพียงมิติความมั่นคง แต่ยังทำให้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันสูงขึ้น โดย GDP ไตรมาสสุดท้ายของปีมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 1% และคาดว่า GDP ปีหน้าอาจขยายตัวต่ำกว่าที่ยังไม่สูงนักในปีนี้ ขณะที่การเติบโตของไทยในช่วงปี 2566 ถึงไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ในระดับ 1.2–3.2% ซึ่งต่ำกว่าประเทศในอาเซียนแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ สะท้อนจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ยังต้องการการปรับตัวครั้งใหญ่
แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลเผยว่า รัฐบาลเตรียมออก “แพ็กเกจเยียวยาใหญ่” ช่วยผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจสั่งทบทวนมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น
แพ็กเกจดังกล่าวครอบคลุมความช่วยเหลือด้านการเงิน การตลาด และการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยเดิมร่างมาตรการได้รับความเห็นชอบจาก ครม.เศรษฐกิจแล้ว แต่ถูกสั่งปรับปรุงเพิ่มเติม พร้อมให้ทุกหน่วยงานรายงานความคืบหน้าก่อนเสนอเข้าสู่ ครม.ใหญ่ต่อไป
ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ประเมินข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนไทยในกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีผู้แทนจากสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนหอการค้าประจำ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา และผู้แทนภาคธุรกิจต่าง ๆ
ข้อเสนอด้านการเงิน ได้แก่ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพิ่มวงเงินสินเชื่อ ลดภาษีท้องถิ่น ลดเงินสมทบประกันสังคม เงินชดเชยผู้ว่างงาน ชะลอการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ (400 บาทต่อวัน) ใน 7 จังหวัดชายแดน สนับสนุนค่าขนส่ง พัฒนาทักษะแรงงาน และช่วยค่าสาธารณูปโภคผู้ประกอบการรายย่อย
ด้านการตลาด เสนอให้รัฐแก้ภาพลบต่อสินค้าไทยในกัมพูชาผ่านกลไกการทูตและการสื่อสารเชิงบวก เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในระยะยาว,ด้านโลจิสติกส์ ขอให้เปิดจุดผ่านแดนบางแห่งเป็นกรณีพิเศษและด้านข้อมูลและความรู้ ขอให้สื่อสารสถานการณ์พื้นที่ปลอดภัยเพื่อรักษาความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ส่วนมาตรการของกัมพูชาที่ห้ามนำเข้าผัก ผลไม้ น้ำมันจากไทย และการรณรงค์ต่อต้านสินค้าไทย ทำให้ยอดขายลดลง ลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อ หลายธุรกิจต้องเปลี่ยนชื่อและตราสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ขณะเดียวกันนักลงทุนไทยจำนวนมากชะลอการลงทุน ขณะที่สินค้าจากประเทศคู่แข่งเข้ามาแทน ส่งผลให้สินค้าไทยเสี่ยงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดระยะยาว
นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยแนวทางทดแทนแรงงานกัมพูชาที่หายไปจากเหตุสู้รบชายแดน โดยยืนยันว่าไม่ใช่ปัญหาน่ากังวล เพราะกระทรวงแรงงานมีมาตรการรองรับอยู่แล้ว
แนวทางแรก คือการใช้แรงงานจากกลุ่มชาติพันธุ์บนดอยกว่า 2 แสนคน ซึ่งแม้ไม่มีบัตรประชาชน แต่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้และพร้อมทำงาน โดยเฉพาะในภาคเกษตร มีการนำร่องแล้วในเชียงรายกว่า 700 คน กลุ่มนี้จะได้รับใบอนุญาตทำงานทดแทน และต้องประสานงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขในการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน
แนวทางที่สอง คือแรงงานจากบังคลาเทศ รวมถึงแรงงานในศูนย์อพยพประมาณ 4 หมื่นคน ที่สามารถเข้ามาทดแทนได้ พร้อมพิจารณาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม และเมียนมา เพื่อเติมเต็มกำลังแรงงานให้เพียงพอ
“ได้เตรียมนำข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพแรงงานชาติพันธุ์เสนอต่อปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสาวตรีนุช เทียนทอง พิจารณาต่อไป ทั้งนี้นโยบายแรกของ รมว.แรงงานคือการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการสู้รบไทย–กัมพูชา พร้อมเน้นย้ำความโปร่งใสในการดำเนินงานทุกขั้นตอน” นายสุรเดช กล่าว