KEY
POINTS
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) เปิดเผยว่า การที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าพร้อมยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ก่อนกำหนดเดิมวันที่ 31 มกราคม 2569 หรือ 1 เดือน มองว่าในแง่เศรษฐกิจ ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะยุบสภาเดือนธันวาคมหรือเดือนมกราคม เพราะห่างกันแค่ 1 เดือน
แต่อาจจะทำให้การเจรจาการค้าบางเรื่องล่าช้าไปบ้าง เช่น การเจรจาการค้าภาษีทรัมป์ แต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่หากมองในแง่ของการเมือง คงจะมีผลกระทบพอสมควร เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ เป็นต้น
ส่วนเรื่องการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต (VAT) ที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับขึ้นจาก 7% ในปัจจุบัน เป็น 8.5% ในปี 2571และเพิ่มเป็น 10% ในปี 2573 นั้น มองว่ารัฐบาลไม่ต้องรอเวลาและรอให้เศรษฐกิจดี สามารถปรับขึ้นได้ในทันที
ทั้งนี้ เนื่องจากภาษีแวตเป็นเรื่องค้างคามานานแล้ว นับจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่รัฐบาลได้ปรับลดภาษีแวตจาก 10% เหลือ 7% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นไม่มีรัฐบาลไหนที่จะกลับไปเก็บแวตที่ 10% ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะฟุบจะฟื้นมาหลายรอบ ซึ่งตามหลักการแล้วรัฐบาลควรจะต้องปรับขึ้นมานานแล้ว
โดยการเก็บภาษีแวตเพิ่มจะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อมาช่วยปรับสมดุลงบประมาณขาดดุล หลังจากที่ในแต่ละปีรัฐบาลได้มีการนำงบประมาณไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินบางส่วนไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น การเพิ่มสวัสดิการให้กับประชาชน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการขึ้นภาษีแวตในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ อาจจะกระทบต่อประชาชน แต่ต่อให้มีปัญหาเชื่อว่ารัฐบาลมีเครื่องมืออีกมากที่จะมาแก้ปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงมองว่าการเก็บภาษีแวตเพิ่มจะมีผลกระทบน้อย
“หากรัฐบาลยังอ้างว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี รอให้เศรษฐกิจดี จะทำให้กลับไปติดกับดักเดิมๆ หากไม่เริ่มวันนี้ จะไม่มีวันได้เริ่ม รอให้พร้อมก็ไม่ต่างจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา สุดท้ายไม่มีรัฐบาลไหนกล้าขึ้น”