KEY
POINTS
ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2568 ไม่ใช่เพียงเหตุยิงปะทะธรรมดา หากแต่เป็น “สงครามทางเศรษฐกิจ–การเมือง–ภูมิรัฐศาสตร์” ที่มีผลสะเทือนลึกและยาวไกลกว่าพื้นที่พรมแดนที่ติดกันกว่า 800 กิโลเมตรของทั้งสองประเทศ
ความตึงเครียดเริ่มปะทุจากเหตุปะทะในสามเหลี่ยมมรกต ก่อนลุกลามสู่ “สงคราม 5 วัน” ระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 48 ราย และประชาชนกว่า 300,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน เหตุการณ์รุนแรงระดับนี้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศสั่นสะเทือนในทันที
การแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจยิ่งทำให้วิกฤตมีมิติทางภูมิรัฐศาสตร์เข้มข้นขึ้น สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ “Tariff Diplomacy” ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจากไทยและกัมพูชาถึง 36% ในช่วงแรก หากไม่หยุดยิง ขณะที่จีนเดินเกมเพื่อรักษาอิทธิพลในภูมิภาค ท้ายที่สุดทั้งสองประเทศได้มีลงนามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์เมื่อ 26 ตุลาคม แต่สันติภาพอยู่ได้เพียงไม่ถึงสองเดือน ก่อนเหตุลอบวางระเบิดและข้อกล่าวหาระหว่างกันจะทำให้รัฐบาลไทยประกาศว่า “Peace is over” และนำไปสู่การโจมตีทางอากาศในวันที่ 8 ธันวาคม และมีการปะทะกันด้วยอาวุธในหลายพื้นที่ตลอดแนวพรมแดนจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในผลกระทบใหญ่ที่สุดคือ “อัมพาตทางการค้า” ด่านคลองลึก–ปอยเปต ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ ถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด ทำให้การค้าชายแดนมูลค่าราว 174,500 ล้านบาทต่อปีหยุดชะงัก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมัน และวัสดุก่อสร้างของไทยที่เป็นเส้นเลือดหลักของภาคการผลิตกัมพูชา ขณะที่ไทยสูญเสียวัตถุดิบสำคัญ เช่น มันสำปะหลังและเศษโลหะ ทำให้อุตสาหกรรมแป้งมัน เอทานอล และเหล็กได้รับผลกระทบซ้ำซ้อน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายทางการค้าโดยตรง (กรณีปิดด่านตลอดปี) ไทยจะสูญเสียการส่งออกประมาณ 66,610 ล้านบาท และไทยจะสูญเสียสินค้านำเข้าจำเป็นราว 20,370 ล้านบาท GDP ของไทยอาจหดลง 0.74% ในปี 2569 ขณะที่กัมพูชาจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง เนื่องจากพึ่งพาสินค้าทุนจากไทยเกือบทั้งหมด
ระบบโลจิสติกส์ข้ามแดนหยุดนิ่ง การขนส่งสินค้าต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านเวียดนาม–ลาว ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 25–40% และกระทบห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคทั้งระบบ
ขณะเหตุไม่สงบและข่าวลือการกวาดล้างทำให้แรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 780,000 คน เดินทางกลับประเทศอย่างฉับพลัน ก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้าง ประมง และเกษตรแปรรูป ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นทันที ส่งผลให้กัมพูชาต้องสูญเสียเม็ดเงินโอนกลับจากแรงงานมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจครัวเรือน
ด้านการท่องเที่ยว ชายแดนตราด–จันทบุรี–สระแก้ว–อุบลราชธานี กลายเป็นพื้นที่ “Conflict Zone” บริษัทประกันต่างชาติประกาศไม่คุ้มครองการเดินทาง ส่งผลให้การท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ทรุดฮวบ ยอดยกเลิกห้องพักในไฮซีซั่นเกือบ 100%
นอกจากนี้สัญญาณที่น่ากังวลคือ หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจเกิดการไหลออกของการลงทุนต่างชาติ (FDI Outflow) ในภาคอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และดิจิทัล ซึ่งไทยแข่งขันกับเวียดนามโดยตรง รวมถึงประเด็นที่มีมูลค่ามากที่สุดแต่ถูกพูดถึงน้อยที่สุดคือ “อนาคตของ OCA” หรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ที่มีแผนพัฒนาร่วมกัน การระงับ MOU 2544 ทำให้ความหวังดึงก๊าซธรรมชาติมูลค่าประเมินกว่า 10 ล้านล้านบาท ขึ้นมาใช้ต้องเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด
สำหรับฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในฉากทัศน์ที่ 1 ไม่ว่าเหตุปะทะจะจบเร็วหรือยืดเยื้อ คาดด่านชายแดนจะยังปิดยาว กระทบเศรษฐกิจ การค้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติจะถูกลดระดับ เสี่ยงต่อการลุกลามเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง
ฉากทัศน์ที่ 2 การแทรกแซงรอบใหม่ของมหาอำนาจสหรัฐ อาจกลับมากดดันด้วยการระงับการเจรจาการค้าแบบไม่มีกำหนด และอาจนำมาตรการทางภาษีการค้าอื่น ๆ มากดดันทั้งสองชาติเพื่อให้กลับสู่โต๊ะเจรจา เกิดการหยุดยิงฉบับใหม่แต่เปราะบาง
บทสรุปเศรษฐกิจไทย–กัมพูชาผูกพันกันลึกกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด และสงครามครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหาชายแดนไม่ได้หยุดแค่ชายแดน แต่หากยังสั่นคลอนเศรษฐกิจ และความมั่นคงของทั้งสองประเทศ การฟื้นฟูสันติภาพจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วนหลังสถานการณ์ยุติ