KEY
POINTS
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ ประเมินการส่งออกของไทย ในปี 2568 คาดว่า การส่งออกจะขยายตัวเกินไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมี 2 เป้าหมาย คือ มูลค่า 332,982.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.7% และ 334,982.1 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.4% โดยประมาณการณ์ส่งออกปี 2569 โดยได้มีการแบ่งไว้อยู่ถึง 3 กรณีจากในฐาน ดังนี้
สามารถขยายตัวได้ดีที่สุด 1.1% หรือมูลค่า 337,655 ล้านดอลลาร์ หากเศรษฐกิจคู่ค้าสําคัญ เช่น สหรัฐฯ จีน อาเซียน ยุโรป ญี่ปุน ฟื้นตัวเร็วกว่าก็คาด และมาตรการการค้าสหรัฐฯ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สําคัญ สอดรับกับปริมาณการค้าโลกทั้งขยายตัว และมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯไม่ได้รุนแรงและขยายวงกว้างอย่างทีกังวง และมีการลงทุนย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่าง เริ่มส่งผลอย่างเป็นรปธรรม โดยเฉพาะในอตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Al และ EV
หดตัว -1.0% มูลค่ารวมถึง 330,642 ล้านดอลลาร์ หากการปรับสู่ภาวะปกติ หลังจากส่งออกปี 2568 ขยายตัวสูงมาก เนื่องจากการเร่งนําเข้าของคู่ค้า เพื่อเลี่ยงกําแพงภาษี ทําให้คําสั่งซื้อปี 69 ลดลง ตามสต็อกที่อยู่ระดับสูง
ขณะที่เศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสําคัญ ชะลอตัวลง สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวค่อนข้างต่ำ
รวมถึงปัจจัยราคาและค่าเงินบาท เป็นแรงกดดันสําคัญต่อความสามารถในการแข่งขันและรายได้ในรูปแบบเงินบาท และราคน้ำมันดิบโลกปรับลดลงจะส่งผลต่อมูลค่า ส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน
ติดลบ 3.1% ซึ่งมีมูลค่ารวม 323,628 ล้านดอลลาร์โดยมาตรการกีดกันทางการค้า/ กําแพงภาษี สหรัฐฯ รุนแรงและครอบคลุมวงกว้างกว่าที่คาดการณ์ กระทบห่วงโซ่อุปทานโลกส่งผล ให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว การชะลอตัวอย่างมากของเศรษฐกิจประเทศ คู่ค้าสําคัญโดยเฉพาะสหรัฐฯและจีน
รวมถึงแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า กระทบกําไร และขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ราคาสินค้าโภคกัณฑ์ปรับตัวลดลง กดดันมูลค่าการส่งออกรวมของไทย
นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากการส่งออกปี 68 มีการขยายตัวสูง ขณะที่เศรษฐกิจโลก มีการชะลอตัว ที่มีค่าเงินบาทแข็งเป็นแรงกดดัน ราคาน้ำ มันดิบโลกมีการปรับตัวลดลง จึงได้มีการประมาณการณ์ปี 69 ส่งออกกรณีฐานอยู่ที่ประมาณ -1% ซึ่ง สอดคล้องกับการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก
โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 91,956 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.46% ของ GDP