ถอดรหัส “การเลี้ยงกุ้ง” ให้กลายเป็นสินค้าหลัก สร้างรายได้เมืองแปดริ้ว

04 ธ.ค. 2568 | 10:24 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ธ.ค. 2568 | 10:38 น.

การพัฒนาระบบการเลี้ยงทำให้ประสิทธิภาพการผลิต ผลผลิตต่อไร่ของกุ้งขาวต่อฟาร์มในจังหวัดฉะเชิงเทราอยู่ที่ 800 - 1,500 กิโลกรัม (กก.) และมีบางฟาร์มที่พัฒนาการเลี้ยงสามารถเพิ่มผลผลิต ไปถึง 2 ตัน

KEY

POINTS

  • จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นแหล่งผลิตกุ้งที่สำคัญ มีผลผลิตราว 24,000 ตันต่อปี โดยกุ้งขาวถือเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร
  • เกษตรกรเผชิญความท้าทายหลักด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น สวนทางกับราคาขายที่ตกต่ำลง และจำนวนรอบการเลี้ยงต่อปีที่ลดลง
  • ฟาร์มกุ้งมีการปรับตัวสู่ระบบการเลี้ยงสมัยใหม่ขนาดใหญ่ขึ้น มีการลงทุนในระบบป้องกันโรค เช่น การปูพลาสติก PE และการกรองน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง

การพัฒนาระบบการเลี้ยงทำให้ประสิทธิภาพการผลิต ผลผลิตต่อไร่ของกุ้งขาวต่อฟาร์มในจังหวัดฉะเชิงเทราอยู่ที่  800 - 1,500 กิโลกรัม (กก.) และมีบางฟาร์มที่พัฒนาการเลี้ยงสามารถเพิ่มผลผลิต ไปถึง 2 ตัน โดยภาพรวมทั้งจังหวัดมีผลผลิตกุ้งประมาณเดือนละประมาณ 2,000 ตัน หรือปีละ 24,000 ตัน ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า กุ้งเป็นสินค้าหลักอย่างหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา ถ้าวัดความเป็นท็อป กุ้งขาวน่าจะเป็น 1 เลย สร้างรายได้ที่ดี และก็เร็วด้วย

“คนึง คมขำ”  ประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา เล่าในถึงสถานการณ์การเลี้ยงกุ้งในปัจจุบัน

เขาถ่ายทอดประสบการณ์ในช่วง 3 ปี หลังจากเข้ามารับตำแหน่ง “ประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา” ให้ฟังว่า  ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพื้นที่เลี้ยงกุ้งในฉะเชิงเทรา ทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 55,000 ไร่ ทั้งจังหวัด  เดิมเกษตรกรรายย่อยผู้เลี้ยงกุ้ง ประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรรายย่อยที่จะอยู่ได้ จะต้องมีทุนมากพอที่จะเลี้ยง และดูแล

ขยายความ “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้น

ปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากค่าพลังงาน วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตต่างๆ เพราะการเลี้ยงปัจจุบัน ต้องมีการใช้จุลินทรีย์บำบัด  ตั้งแต่วันแรกที่เราปล่อย  ทั้งคลุกอาหารให้กิน มีความจำเป็นที่ต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น เฉลี่ยต้นทุนต่อกิโลน่าจะประมาณ ใกล้เคียง 100 บาท ยังไม่รวมค่าแรงตัวเอง

คนึง คมขำ ประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา

ในส่วนของความเร็วรอบของการเลี้ยงอาจจะมาเสริมให้เกษตรกรซึ่งแต่เดิมมีความมเร็วรอบในการเลี้ยงได้ 3 รอบครึ่ง - 4 รอบต่อปี  แต่ตอนหลังปรับเปลี่ยนมาใช้สายพันธุ์กุ้งต้านทานโรค โดยเฉพาะโรคประจำถิ่น คือ โรคขี้ขาว ซึ่งจะใช้เวลาเลี้ยงต่อรอบนานขึ้น ประมาณสักครึ่งเดือน จึงทำให้เลี้ยงได้ 3 รอบต่อปี จำนวนรอบลดลง รายได้ลดลง

อีกด้านหนึ่ง ปัจจัยเรื่องราคาขายมีผลต่อการเลี้ยงอย่างมาก ตอนนี้ราคากุ้งไม่แรงเหมือนเดิม เช่น ขนาด 50 ตัว/กก. ราคา 160 - 170 บาท จากสมัยก่อนเคยขายได้ราคา 200 - 300 บาท เมื่อราคาที่ไม่จูงใจ  ถ้าหากขายได้ 250-300 บาท คงเป็นราคาที่จูงใจให้เกษตรกรเลี้ยงมากขึ้น  

 

 สถานการณ์ปลาหมอคางดำในพื้นที่

“ที่ในบ่อเลี้ยงกุ้งไม่เจอปัญหาปลาหมอคางดำ แต่ในพื้นที่ของจังหวัดฉะเชิงเทรามีพบปลาหมอคางดำใน 4-5 อำเภอ คือ อำเภอเมือง,บางปะกง, บ้านโพธิ์, บางคล้า และคลองเขื่อน  เจอในร่องน้ำ ในน้ำธรรมชาติที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำรกๆ น้ำนิ่งในคลองเล็ก คลองซอย แต่ในแม่น้ำบางปะกงไม่เจอ เพราะน้ำเชี่ยว และลึก”

เขาย้ำว่า “ปัจจัยความท้าทายคือเรื่องต้นทุนเยอะกว่า ถ้าเทียบกับปัญหาปลาหมอคางดำไม่มีเลยที่ฉะเชิงเทรา”  

จากปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดจึงมีส่วนทำให้ ฟาร์มกุ้งเกิดการแปรผันจากรายย่อยทุนน้อยเข้าสู่การทำฟาร์มขนาดใหญ่  และช่วยให้มีการพัฒนา “ระบบการเลี้ยงที่มีความทันสมัยขึ้น”  และมีระบบป้องกันดีขึ้น มีความพิถีพิถัน มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น

ยกระดับการพัฒนาฟาร์ม

ผู้เลี้ยงกุ้งใน จ.ฉะเชิงเทรา ส่วนใหญ่ใช้วิธีเลี้ยงแบบพัฒนาโครงสร้างฟาร์ม จะมีปรับให้มีบ่อพักน้ำ และบ่อเลี้ยงกุ้ง มีการนำน้ำเข้าบ่อ เราจะมีการกรอง 2 ชั้น คือ กรองน้ำเข้าบ่อพักก่อน เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำ 2-3 วัน ไปจนถึง 1 สัปดาห์ เสร็จแล้วก่อนจะนำน้ำเข้าบ่อเลี้ยง ก็จะมีการกรองอีกชั้นหนึ่ง ตั้งแต่นท่อทางเข้า แล้วก็ปลายท่อ  สามารถกรองได้ทั้งตัวแล้วก็ทั้งไข่ปลา ไม่มีการปล่อยน้ำเข้าบ่อเลี้ยงเลย  ยิ่งเมื่อเป็นเกษตรกรรายใหญ่ ได้ลงทุนการป้องกัน จากเดิมเป็นบ่อดินเปลือย ก็จะเป็นบ่อที่ปูด้วยพลาสติก PE  บางฟาร์มเป็นบ่อลักษณะเป็น “มุ้ง” ป้องกันนก และปู แบบพิถีพิถันมากขึ้น

“นอกจากนี้ ฉะเชิงเทราโชคดีว่าเราเป็นเมืองปลากะพงขาว ในแม่น้ำบางปะกงจะมีปลากะพงขาวเยอะมาก และมีปลาหางกิ่ว ตระกูลปลา ม้า  ซึ่งเป็นปลานักล่าที่กินสัตว์น้ำ ก็ช่วยกำจัดปลาหมอคางดำไปในตัว”

ส่วนอีกเรื่อง คือ การใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำที่จับได้ เราพบว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีการจับปลาหมอคางดำนำไปประกอบอาหารบริโภคเป็นประจำ เราจึงมองว่าสถานการณ์นี้ทางฉะเชิงเทราไม่มีผลกระทบจากปลาหมอคางดำ  

บทบาทของภาครัฐในการส่งเสริมเกษตรกร

“คนึง” ยอมรับว่าภาครัฐเองก็ยังสนองตอบต่อความต้องการของเกษตรกรยังไม่ถึงเท่าที่ควร เพราะมีงานหลายด้านและงบประมาณน้อยนิด ทั้งที่ในส่วนของประมงก็ต้องทำหน้าที่เหมือนกับสัตวแพทย์ของกรมปศุสัตว์ คือ เข้าไปดูแล้วก็ตรวจสอบวินิจฉัยโรคอะไรเสร็จแล้ว ก็ต้องมีปัจจัยให้เค้าด้วย ให้คำแนะนำ  ไม่ใช่ว่าเราควบคุมอย่างเดียว ห้ามใช้สารเคมีที่ห้ามใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่ในการส่งเสริมการต่อยอดอาจจะยังไม่เพียงพอ

ส่วนแนวทางการพัฒนายกระดับฟาร์มกุ้งในอนาคต เขาบอกว่า การส่งเสริมเกษตรกรผลิตกุ้งแบบคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้เริ่มมีการดำเนินการอยู่บ้างแต่ยังไม่มากนัก เพราะการผลิตกุ้งคาร์บอนต่ำ อาจต้องเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จและมีทุนมีปัจจัยพอสมควรอยู่แล้ว เพราะหากต้องมีการลงทุนปรับปรุงบ่อ เกษตรกรรายย่อยน่าจะทำได้ลำบาก  ดังนั้น ภาครัฐจะต้องมีการสนับสนุนในเรื่องของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาการเลี้ยงระบบคาร์บอนต่ำให้มากกว่านี้ โดยอาจจะเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนให้  ไม่ใช่ให้เฉพาะเรื่องความรู้อย่างเดียว