กุ้งไทยเฮ ‘อินเดีย’ ถูกสหรัฐโขกภาษี 50% ลุ้นเสียบตลาด ดันส่งออกเพิ่ม 6.6 พันล้าน

03 ก.ย. 2568 | 21:30 น.

กุ้งไทยเฮ ลุ้นเสียบตลาดสหรัฐ แทนกุ้งอินเดีย หลังถูกโขกภาษีนำเข้าอ่วม 50% เผยมีคำสั่งซื้อเพียบดันราคาในประเทศพุ่ง คาดปีนี้ไทยส่งออกกุ้ง ไปสหรัฐได้เพิ่มกว่า 6.6 พันล้าน ห่วงผลผลิตในประเทศไม่พอขาย วอนรัฐบาลใหม่ดันต่อ “วาระแห่งชาติ” เพิ่มผลผลิต 4.5 แสนตันใน 5 ปี

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีกุ้งนำเข้าจากอินเดียซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในอัตราสูงถึง 50% ทำให้กุ้งอินเดียสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
  • สถานการณ์ดังกล่าวเป็นโอกาสให้กุ้งไทยสามารถเข้าไปทำตลาดในสหรัฐฯ ได้มากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งรายอื่นก็กำลังประสบปัญหาเช่นกัน
  • คาดการณ์ว่าไทยจะสามารถเพิ่มการส่งออกกุ้งไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ประมาณ 25,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นราว 6,600 ล้านบาท

จากการประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐ อเมริกาต่อสินค้านำเข้าจากอินเดียรอบใหม่ที่สูงถึง 50% คาดจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของอินเดียไปสหรัฐอย่างแน่นอน โดยในสินค้าประมงอินเดียเป็นผู้ส่งออกไปยังสหรัฐมากเป็นอันดับที่ 3 รองจากแคนาดา และชิลี สร้างรายได้ให้กับอินเดียเฉลี่ยถึง 93,800 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตามการขึ้นภาษีในระดับที่สูงกว่าคู่แข่งขันมาก จะทำให้อินเดียสูญเสียตลาดกุ้งอย่างแน่นอน เนื่องจากกุ้งในสหรัฐมีการแข่งขันด้านราคาสูง มีกำไรต่อหน่วยน้อย ซึ่งจากอัตราภาษีที่สูงจะส่งผลทำให้อินเดียไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้

 

กุ้งไทยเฮ ‘อินเดีย’ ถูกสหรัฐโขกภาษี 50% ลุ้นเสียบตลาด ดันส่งออกเพิ่ม 6.6  พันล้าน

 

นายประพันธ์ โนระดี หัวหน้ากลุ่มวิเคราะห์การค้าสินค้าประมงระหว่างประเทศ กรมประมง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ที่ผ่านมาอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้ากุ้งรายใหญ่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนคิดเป็น 36.14% ของการนำเข้ากุ้งทั้งหมดของสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกกุ้งนํ้าอุ่นแกะเปลือกแช่แข็งจากฟาร์มเลี้ยง พิกัด 0306170041 SHRIMP WARM-WATER PEELED FROZEN FARMED มีปริมาณ 208,639 ตัน มูลค่า 1,625 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 56,875 ล้านบาท โดยมีคู่แข่งที่สำคัญได้แก่ เอกวาดอร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย

 

“การส่งออกสินค้าของอินเดียไปยังสหรัฐ เวลานี้จะเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงที่สุดในโลก แบ่งเป็นภาษีตอบโต้จ่อถูกเก็บ 50% เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อนํ้ามันจากรัสเซีย ซึ่งสหรัฐอ้างว่าเป็นการสนับสนุนทางการเงินต่อสงครามของมอสโกในยูเครน นอกจากนี้ยังมีภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) 3.96% และภาษีตอบโต้การอุดหนุน (CVD) 5.77% รวมอัตราภาษี 59.73% คาดอินเดียจะสูญเสียตลาดกุ้งอย่างแน่นอน เนื่องจากกุ้งในสหรัฐมีการแข่งขันด้านราคาสูง กำไรต่อหน่วยน้อย อัตราภาษีที่สูงจะส่งผลทำให้อินเดียไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้ คาดการณ์ว่าในปีนี้กุ้งอินเดียจะลดลงประมาณ 80% จากที่เคยส่งออก หรือประมาณ 240,000 ตัน”

 

กุ้งไทยเฮ ‘อินเดีย’ ถูกสหรัฐโขกภาษี 50% ลุ้นเสียบตลาด ดันส่งออกเพิ่ม 6.6  พันล้าน

 ทั้งนี้กุ้งในตลาดสหรัฐ ที่จะมาทดแทนกุ้งจากอินเดียที่คาดจะลดลง ราคาที่ขายในตลาดจะต้องไม่สูงมาก เช่น เอกวาดอร์ที่ได้รับอัตราภาษีตํ่าสุด (15%) อย่างไรก็ตามเอกวาดอร์นิยมส่งออกกุ้งทั้งตัวแช่แข็งซึ่งตลาดสหรัฐอเมริกานิยมกุ้งแกะเปลือกและกุ้งแปรรูป ทำให้เอกวาดอร์มีข้อจำกัด ส่วนอินโดนีเซียมีรายงานว่าสินค้ากุ้งที่ส่งออกไปยังสหรัฐตรวจพบว่าสารปนเปื้อน จึงจำเป็นต้องตรวจเข้มข้นทุกล็อต 100%

ทางด้านเวียดนามมีการคาดการณ์ว่าการประกาศภาษีทุ่มตลาด (AD) รอบใหม่จะสูงกว่าเดิมทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากุ้งในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นโอกาสที่ไทยจะเพิ่มการส่งออกได้ในขณะที่คู่แข่งกำลังประสบปัญหา โดยประมาณการเบื้องต้นไทยจะเพิ่มการส่งออกในตลาดนี้ได้ประมาณ 25,000 ตัน มูลค่า 191 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 6,685 ล้านบาท

 

 

สอดคล้องกับนายสถาสรรพ วิริยะนันทวนิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารีนนอส โกลบอล จำกัด และกรรมการในคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ หรือ Shrimp Board ที่กล่าวว่า นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 19% มีผลบังคับใช้วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อหลั่งไหลเข้ามายังไทยจำนวนมาก เพราะโครงสร้างภาษีตอบโต้ทุ่มตลาดสินค้ากุ้ง ที่มีการทบทวนและจะประกาศใหม่เดือนตุลาคมนี้ไทยมีโอกาสอาจจะเป็น 0% จาก 0.81%

ส่วนอินเดีย ยังไม่ชัดเจนว่าจะโดนเก็บภาษี 25% หรือ 50% จึงทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกุ้งแช่แข็ง จึงทำให้ราคากุ้งขยับขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่น่าเสียดายปีนี้พบปัญหาโรคกุ้งและสภาพดินฟ้าอากาศทำให้ผลผลิตตกตํ่ากว่าปีก่อน อาทิ ราคากุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 40 ตัวต่อกิโลกรัม (กก.) ราคา 180 บาท, ขนาด 50 ตัว/กก. ราคา 165 บาท และ 100 ตัว/กก. 120 บาท

“ปัญหาของเราคือ จะทำอย่างไรให้ไทยเรามีผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้น ซึ่งก็มีการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ผ่าน 11 มาตรการ ภายใต้วงเงินงบประมาณกว่า 5,178 ล้านบาท เพื่อไปสู่เป้าหมายใน 2572 เพิ่มผลผลิต 4.5 แสนตันต่อปี ซึ่งก็ต้องรอพิจารณาว่าพรรคไหนจะเข้ามาดูแลกระทรวงเกษตรฯ แต่ถ้าเป็นพรรคเดิมก็คงเดินหน้าต่อ แต่ถ้าเป็นพรรคใหม่ก็ต้องลุ้นต่อไป แต่อีกด้านหนึ่งในบอร์ดกุ้ง มีการตั้งคณะกรรมการดูแลในเรื่องแผนปฏิบัติการอยู่แล้ว ในส่วนภาคเอกชน ข้าราชการประจำ ก็หวังว่าจะเดินไปตามแผน ต่อให้ไม่มีงบประมาณช่วยเหลือจากรัฐ ภาคเอกชนก็ทำกันอยู่แล้ว”

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,128 วันที่ 4 - 6 กันยายน พ.ศ. 2568