จับตา ‘อนุทิน’ ชิงยุบสภา ถกค้าสหรัฐล่าช้า ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 69 เสี่ยงโตตํ่าสุด 1%

28 พ.ย. 2568 | 22:26 น.

เอกชน-นักวิชาการ จับตา “อนุทิน” ชิงยุบสภา 12 ธ.ค. พ่วงเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐไม่คืบ กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน เสี่ยงสถาบันจัดอันดับปรับลดเครดิตเรตติ้งของประเทศเป็นลบ ทำต้นทุนทางการเงินพุ่ง ฉากทัศน์เลวร้ายสุด จีดีพีไทยปี 2569 อาจขยายตัวได้แค่ 0.5-1%

KEY

POINTS

  • การยุบสภาที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด และการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ล่าช้า เป็นสองปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจฉุดเศรษฐกิจไทย
  • ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าหากเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด เศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2569 อาจเติบโตต่ำสุดเหลือเพียง 0.5% - 1%
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้การลงทุนใหม่ชะงัก และเสี่ยงถูกปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศเป็นลบ

เอกชน-นักวิชาการ จับตา “อนุทิน” ชิงยุบสภา 12 ธ.ค. พ่วงเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐไม่คืบ กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน เสี่ยงสถาบันจัดอันดับปรับลดเครดิตเรตติ้งของประเทศเป็นลบ ทำต้นทุนทางการเงินพุ่ง ฉากทัศน์เลวร้ายสุด จีดีพีไทยปี 2569 อาจขยายตัวได้แค่ 0.5-1%

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังผันผวนสูง แม้จะได้โครงการ “คนละครึ่งพลัส” มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบอยู่มาก ทั้งมหาอุทกภัยในภาคใต้ การขู่ยุบสภาของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล หากฝ่ายค้านยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแบบลงมติ ในวันเปิดสภาฯ 12 ธันวาคมนี้ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านการส่งออกไทยไปสหรัฐ หลังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ระงับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับไทยอย่างไม่มีกำหนด

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากรัฐบาลประกาศยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ (จากเดิมจะยุบสภาในวันที่ 31 ม.ค. 2569) ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมประมาณ 1 เดือนครึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศที่อาจชะลอ เพื่อจับตาทิศทางทางการเมือง เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

จับตา ‘อนุทิน’ ชิงยุบสภา ถกค้าสหรัฐล่าช้า ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 69 เสี่ยงโตตํ่าสุด 1%

อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 เดือนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศถือว่าวิธีการทำได้ค่อนข้างดี โดยส่วนหนึ่งได้นำคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหาร เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจจริง ๆ โดยไม่ใช้การเมืองนำหน้า

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย

“ภาพจำที่ประชาชนทั่วไปกับรัฐบาลชุดปัจจุบันที่โดดเด่นที่สุดคือโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ประชาชนได้รับประโยชน์ในการลดค่าครองชีพ ขณะเดียวกันสามารถช่วยกระตุ้นการจับจ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้พร้อมกัน ไม่ใช่การแจกเงินอย่างเดียว ช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวสุด ๆ ก่อนหน้านี้”

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า หากรัฐบาลมีการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ขณะที่การเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐ ระงับลงชั่วคราวและยังไม่มีความคืบหน้า จะส่งผลให้การเจรจาการค้าไม่สามารถจบตามเป้าหมายในสิ้นปีนี้ ทั้งสองเรื่องจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2569 โดยเฉพาะเรื่องเครดิตหรือความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของไทย มีโอกาสถูกปรับเป็นมุมมองด้านลบ(Negative) ได้

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

“ผมมองว่าในปี 2569 ครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยภายใต้การยุบสภาพ่วงกับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐ หากยังไม่มีความคืบหน้า เศรษฐกิจไทยจะถูกแช่แข็ง หรือขยายตัวตํ่าในช่วงครึ่งปีแรก เพราะการค้าการลงทุนจะขาดความเชื่อมั่น การลงทุนใหม่จากภาคเอกชนในประเทศและต่างประเทศจะหยุดชะงัก เนื่องจากต้องรอความชัดเจนด้านนโยบาย กว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศคงเป็นช่วงครึ่งปีหลัง เบื้องต้นจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหรือการขยายตัวของจีดีพีไทยในปีหน้าจากที่ IMF คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.6% ผมคิดว่าจะเหลือประมาณ 0.5% ถึง 1% ซึ่งถือเป็นฉากทัศน์เลวร้ายที่สุด”

ผลที่ตามมาคือ สถาบันจัดระดับความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น Moody’s, S&P และ Fitch Ratings มีโอกาสสูงที่จะปรับลดมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทยเป็น Negative ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของประเทศ และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในฉากทัศน์ หากไทยสามารถเจรจาการค้าต่างตอบแทนกับสหรัฐได้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ตามกำหนด จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้าอย่างมีนัยสำคัญมากนัก ซึ่งคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป