ไทยเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค หลังคาดศก. ไตรมาส 4 โตต่ำกว่า 1%

24 พ.ย. 2568 | 00:11 น.

อนุสรณ์ชี้ไทยเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค หลังคาดเศรษฐกิจไตรมาส 4 ขยายตัวต่ำกว่า 1% ระบุคนละครึ่งพลัส 6.7 หมื่นล้านแค่ช่วยกระตุ้นการบริโภคปลายปี

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค เนื่องจาก GDP ในไตรมาส 3 ติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
  • มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะเติบโตต่ำกว่า 1% และมีโอกาสติดลบ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้เศรษฐกิจติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน
  • ปัจจัยลบสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจคือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่หดตัว รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดหลังอัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่ขยายตัวต่ำกว่า 1% และมีโอกาสที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี (GDP) เติบโตติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา 

จีดีพีไตรมาสสามแม้ขยายตัวเป็นบวก 1.2% เมื่อเทียบระยะเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว แต่เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จีดีพีไตรมาสติดลบถึง -0.6% หากเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่ขยายตัวติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ถือว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวยังไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนถึงวัฏจักรเศรษฐกิจโดยรวม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคจะพัฒนาสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อมีภาวะการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้างอย่างมีนัยยสำคัญ เป็นเวลายาวนานหลายเดือนต่อเนื่อง รายได้ลดลง 

การใช้จ่ายลดลง ยอดขายและการผลิตชะลอตัวลง การจ้างงานลดลง คนว่างงานเพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อติดลบ หากไทยประสบภาวะถดถอยปีหน้า อาจจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ และอาจกลับไปมีภาวะถอดถอยอีก หากไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับ 1% และเร่งรัดการใช้ภาครัฐที่ติดลบอยู่ในขณะนี้ 

ไทยเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค หลังคาดศก. ไตรมาส 4 โตต่ำกว่า 1%

มาตรการคนละครึ่งพลัสวงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาทเพียงช่วยกระตุ้นการบริโภคปลายปีเท่านั้น ภาคการลงทุนและภาคส่งออกไทยมีสัดส่วนของการนำเข้าหรือ Import Content สูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ทำให้เกิดผลบวกต่อการขยายตัวของภาคการผลิตภายในต่ำ การนำเข้าส่วนหนึ่งเป็นการสวมสิทธิเพื่อการส่งออกซึ่งอาจเผชิญภาษีตอบโต้ทางการค้าในอัตราสูง  

การใช้จ่ายภาครัฐไตรมาสสามขยายตัวติดลบ การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนภาครัฐติดลบ -5.3% การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาครัฐติดลบ -3.9% ขณะที่ไตรมาสสี่ก็อาจจะกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มีโอกาสทำให้การใช้จ่ายภาครัฐไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่ 

หากไม่มีการเร่งรัดการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน และการขยายของภาคการบริโภคมากกว่า 3% ขึ้นไปมีความเป็นไปได้สูงที่จะเผชิญภาวะเงินฝืด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมาต่อเนื่องหลายเดือน 

และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ -0.2 ถึง -0.3% โดยคาดว่า ปีหน้าอัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ระดับ 0% หรือ ติดลบเล็กน้อยต่อไป รัฐบาลยังไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ตอนนี้ เพราะกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจยังอ่อนแอและอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุดได้ หากสามารถอุดการรั่วไหลของงบประมาณและการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมทั้งป้องกันการทุจริตได้ 2-3 แสนล้านบาทต่อปี ก็จะทำให้ฐานะทางการคลังดีขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปรายได้ภาครัฐเพื่อแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่เป็นสิ่งต้องดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังในอนาคตและทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่พุ่งทะลุ 70%   

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมปีหน้ามีทั้งรุ่งและร่วง โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรม ประกอบไปด้วย ปัจจัยสงครามทางการค้า ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะเอไอ ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วและน่าจะค่อยๆทะยอยฟื้นตัวในปีหน้า โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องและยอดขายมีโอกาสมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% 

ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะเผชิญการแข่งขันรุนแรงและกำแพงภาษีสหรัฐฯ ส่วนธุรกิจค้าปลีกในปีหน้าน่าจะชะลอตัว ธุรกิจบริการอาหารมีการเติบโตเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากกำลังซื้ออ่อนแอของผู้บริโภค สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังคงอยู่ในระดับสูง อุตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้มทรงตัวปีหน้า 

หากภาครัฐเร่งรัดโครงการก่อสร้างต่างๆจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น คาดว่ามีเม็ดเงินโครงการก่อสร้างภาครัฐประมาณ 860,000 ล้านบาท ส่วนทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงขยายในระดับต่ำ การตรวจสอบเข้มข้นธุรกรรมการฟอกเงินจะส่งต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุปสงค์เทียมจะลดลงและอุปทานส่วนเกินในบางภาคส่วน หรือ Segment ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจเผชิญภาวะฟองสบู่แตก