KEY
POINTS
ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน “อาหารสำเร็จรูป” ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกของคนเร่งรีบอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และยังคงไว้ซึ่งความอร่อย ความสะอาด และความปลอดภัย
มูลค่าตลาดอาหารสำเร็จรูปในไทย (2558–2568) มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรวบรวมของสถาบันอาหาร และกรุงศรีวิจัยธุรกิจ พบว่า ปี 2558 ตลาดนี้มีมูลค่า 25,800 ล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5-8% ต่อปี โดยเฉพาะหลังจากโควิด 2565 มียอดเติบโตเป็น 38,000 ล้านบาท และขยับเป็น 42,000-45,000 ล้านบาทเมื่อปี 2567 โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้ จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 47,000–50,000 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอาหารสำเร็จรูป เกิดจากการส่งออกขยายตัว ในตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป มีความต้องการสูง นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การลงทุนของผู้ผลิตรายใหญ่ พัฒนาอาหารสำเร็จรูปที่มีความหลากหลายทั้งอาหารแช่แข็ง แพลนต์เบส ตลอดจนการเพิ่มกำลังการผลิตและช่องทางจำหน่าย สอดรับกับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป มีความคาดหวังต่ออาหารสำเร็จรูปที่มีรสชาติอร่อย และคุณภาพดีเพิ่มขึ้น เป็นแรงผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
รายงานของ Food Culture Innova Market Insights หนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ระบุว่า ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันไม่ได้มองหาอาหารที่แค่ทำให้อิ่มท้องอีกต่อไป แต่ต้องการอาหารที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ รสชาติ และความยั่งยืน พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนผ่านความนิยมในอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณภาพสูง เช่น อาหารแช่แข็งที่ใช้วัตถุดิบออร์แกนิก อาหารพร้อมทานที่มีฉลากโภชนาการชัดเจน และเมนูที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล เช่น สูตรลดโซเดียม หรือสูตรสำหรับผู้แพ้อาหาร
นอกจากนี้ ความสะอาดและความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคจำนวนมากเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปจากแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่ชัดเจน และมีการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
ในยุคที่เวลาเป็นทรัพยากรล้ำค่า อาหารสำเร็จรูปจึงต้องตอบโจทย์ “เร็วแต่ดี” ผู้บริโภคคาดหวังว่าอาหารที่ใช้เวลาเตรียมเพียงไม่กี่นาที จะต้องมีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารที่ปรุงสดใหม่ และยังต้องมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร เช่น การแช่แข็งแบบ IQF (Individual Quick Freezing) หรือการใช้บรรจุภัณฑ์แบบสุญญากาศ จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาคุณภาพของอาหารสำเร็จรูป
ตลาดอาหารสำเร็จรูปทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย จากข้อมูลเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ของ nestleprofessional.co.th พบว่า ในปี 2025 ผู้ประกอบการอาหารต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ 5 เทรนด์หลัก ได้แก่
1. การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน (Sustainable Sourcing) : ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับที่มาของวัตถุดิบ เช่น การเลือกใช้ผักปลอดสารพิษ หรือเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีสวัสดิภาพสัตว์
2. การใช้เทคโนโลยีในการผลิตและจัดจำหน่าย : เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และการใช้ระบบจัดส่งที่รวดเร็วและปลอดภัย
3. การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล หรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้
4. การปรับสูตรอาหารให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล : เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ที่มีภาวะสุขภาพเฉพาะ
5. การสร้างประสบการณ์ใหม่ผ่านรสชาติและวัฒนธรรม : ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการลองรสชาติใหม่ ๆ จากหลากหลายวัฒนธรรม เช่น อาหารเกาหลี อาหารเมดิเตอร์เรเนียน หรืออาหารฟิวชัน
แม้ตลาดอาหารสำเร็จรูปจะมีแนวโน้มเติบโต แต่ผู้ประกอบการก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ความคาดหวังของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โอกาสยังมีอีกมากสำหรับผู้ที่สามารถสร้างความแตกต่างผ่านคุณภาพ นวัตกรรม และการสื่อสารแบรนด์ที่จริงใจ
อาหารสำเร็จรูปในวันนี้ไม่ใช่แค่ “ของกินง่าย” แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในด้านรสชาติ ความสะอาด ความปลอดภัย ความรวดเร็ว และความยั่งยืน ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง จะสามารถคว้าโอกาสในตลาดที่กำลังเติบโตนี้ได้อย่างมั่นคง
หากคุณเป็นผู้บริโภค ลองสังเกตดูว่าอาหารสำเร็จรูปที่คุณเลือกในวันนี้ สะท้อนความต้องการของคุณในอนาคตหรือไม่ เพราะในโลกของอาหารสำเร็จรูป “คุณภาพ” กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทุกคนคาดหวัง