In Brief
ในงาน “THAILAND ZERO FOOD WASTE FORUM 2025” ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง ลดทิ้ง สร้างค่า เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” การจัดสัมมนาครั้งนี้มุ่งเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก นายสุรินทร์ วรกิจรำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ
และ นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) มาแลกเปลี่ยนมุมมองและแชร์ประสบการณ์จริง กับการจัดการขยะอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เริ่มต้นจากการจัดการขยะอย่างเป็นระบบตั้งแต่ครัวเรือนจนถึงห้างค้าปลีก สามารถสร้างมูลค่าและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้
นายสุรินทร์ กล่าวว่า แรงบันดาลใจในการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเริ่มจากครอบครัว ภรรยาเป็นผู้ริเริ่มนำเครื่องบดขยะอาหารเข้ามาใช้ในบ้าน ทำให้เริ่มเรียนรู้การจัดการขยะอย่างเป็นระบบ เช่น การล้างขวดนมและแยกพลาสติกก่อนทิ้ง สิ่งเหล่านี้วางรากฐานให้สามารถทำงานด้านการควบคุมมลพิษและการจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขยะอาหารเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ข้อมูลล่าสุดพบว่า โลกมีขยะอาหารรวมกว่า 2.1 พันล้านตัน ส่วนประเทศไทยมีขยะรวมประมาณ 27 ล้านตันต่อปี ในจำนวนนี้ราว 37% เป็นขยะอาหารหรือประมาณ 7–10 ล้านตัน
ตัวเลขนี้สะท้อนความสูญเสียทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคม หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ สหรัฐอเมริกามีสัดส่วนฟู้ดเวสต์ 34% ขณะที่เดนมาร์กและญี่ปุ่นราว 25% แต่ในไทยสูงถึง 37% แสดงถึงความแตกต่างในระบบจัดการขยะ โดยประเทศอื่นเน้นการแยกตั้งแต่ต้นทางหรือใช้เทคโนโลยีปลายทาง ทำให้การจัดการมีประสิทธิภาพสูง
ขยะในไทยเฉลี่ย 27 ล้านตันต่อปี แม้ช่วงโควิด-19 จำนวนขยะลดลงเพียงเล็กน้อย ขยะจากนักท่องเที่ยวประมาณ 3 แสนตันต่อปี ขณะเดียวกันการจัดการขยะมีพัฒนาการโดยอัตราการเข้าถึงระบบจัดการเพิ่มจาก 14.51% เป็น 20.93% หรือประมาณ 77% ของขยะทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ยังเป็น landfill และไม่ได้ผ่านกระบวนการเผาหรือรีไซเคิลอย่างครบวงจร
จากขยะอาหาร 7 ล้านตัน หากคำนวณต่อจำนวนประชากร 66 ล้านคน จะสามารถนำอาหารกลับมาใช้ประโยชน์ได้สำหรับประชากรประมาณ 10 ล้านคน โดยเฉลี่ยคนหนึ่งได้รับอาหาร 0.5 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าเงินประมาณ 300,000 ล้านบาทต่อปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนความสูญเสียมหาศาลและเหตุผลที่ทำให้ฟู้ดเวสต์กลายเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข
กระทรวงแรงงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญกับการลดขยะอาหารเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยมีโครงการ “Zero Food Waste” เริ่มจากกระทรวงแห่งแรก และขยายไปยังอุทยานและพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้ทุกแห่งสามารถจัดการขยะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางศิริพรกล่าวว่า การจัดการขยะอาหารต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางไม่ใช่รอจนขยะเกิดแล้วค่อยแก้ไข เพราะการจัดการปลายทางอย่างเดียวมักไม่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพต่ำ โชคดีที่เครือข่ายค้าปลีกอย่างแม็คโครและโลตัสอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค จึงสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยลดขยะได้ตั้งแต่ต้นทาง โดยติดต่อกับผู้ผลิตหลายพันรายและให้บริการลูกค้ากว่าล้านคนต่อวัน
"ก่อนอื่นเราต้องจัดการของตัวเองให้ดี และใช้ความรู้ที่มีช่วยผู้ผลิตและผู้บริโภค ด้วยแนวคิด End-to-End (E2E) หรือการจัดการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ"
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม็คโครและโลตัสมีความเชี่ยวชาญด้านการค้าขาย แต่ไม่ได้เก่งเรื่องการจัดการขยะอาหาร จึงได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความรู้ด้านการลดขยะอาหารอย่างเป็นระบบ การจัดการขยะอาหารต้องเริ่มจาก ห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นทางคือฟาร์มหรือผู้ผลิตที่ผลิตตามคำสั่งซื้อ ทั้งการเลือกบรรจุภัณฑ์และรูปแบบสินค้าสามารถช่วยลดขยะได้จากนั้นเป็นขั้นตอนการขนส่ง แม็คโครและโลตัสมีระบบ Direct to Store คือสั่งสินค้าจากฟาร์มใกล้สาขาเพื่อลดการสูญเสีย ลดการเน่าเสีย และสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น
ในส่วนปลายทางนอกจากการวางขายให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องการลดขยะแล้ว ยังสอดคล้องกับ SDG Goal 12 เรื่องการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน สิ่งสำคัญคือต้องรู้จัก พีระมิดหัวกลับ ของการจัดการขยะอาหาร ไม่ใช่แค่ทิ้งขยะแล้วจบ แต่ต้องวางแผนตั้งแต่ต้นทางให้เกิดขยะน้อยที่สุด
สำหรับอาหารใกล้หมดอายุแม้ยังทานได้สามารถส่งต่อให้ผู้ยากไร้ผ่านหน่วยงานอย่าง SOS (Scholars of Sustenance) หรือ BKK Food Bank ที่ทางกรุงเทพมหานครสนับสนุน โดยอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้จะถูกแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการ
ส่วนอาหารที่ไม่สามารถบริโภคได้อีกแล้วจะนำไปเป็นอาหารสัตว์ โดยร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่งต่อให้ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าที่ใกล้สาขา ลดค่าใช้จ่ายในการจัดหาอาหารสัตว์และช่วยเหลือสัตว์ในศูนย์ต่าง ๆ
โครงการเริ่มช่วงโควิด เพราะการขนส่งและงบประมาณมีจำกัด แต่มีอาหารส่วนเกินจำนวนมากสามารถส่งต่อได้ทุกวันเนื้อหาอาหารที่ส่งต่อมีทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่คิดเป็นประมาณ 60% ของอาหารส่วนเกิน
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงผัก “หายใจได้” ที่ช่วยระบายความชื้นทำให้ผักอยู่ได้นานขึ้นจาก 3 วันเป็น 7–14 วัน ลดการเน่าเสียและฟู้ดเวสต์ ขณะที่สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์มีการ Vacuum Pack ทำให้อยู่ได้นานขึ้นจาก 3 วันเป็น 21 วัน
สำหรับผู้บริโภคแม้บางคนยังชอบซื้อสินค้าแบบตักเป็นกิโล แต่แพ็กเกจใหม่แบบพร้อมรับประทาน เช่น 100–300 กรัม ช่วยให้ผักและผลไม้สดนานขึ้น เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กและลดความสูญเสียจากการจับหรือบีบผลไม้ นอกจากนี้แม็คโครและโลตัสยังมีกล่องผลไม้พร้อมรับประทาน เช่น มังคุด เพื่อป้องกันการบีบและเสียหายจากผู้บริโภค ลดการสูญเสียบนชั้นวาง
ในขั้นตอนสุดท้ายอาหารที่ไม่สามารถบริโภคหรือใช้ประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์ได้ จะนำไปแปรรูป เช่น แปลงผักผลไม้ที่ไม่มีโปรตีนให้กลายเป็นอาหารสัตว์ที่มีโปรตีน 50% ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อแปรรูปและต่อยอดผลิตภัณฑ์
ความสำเร็จของโครงการนี้อยู่ที่การทำงานแบบ ครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เป็นตัวกลางเชื่อมผู้ผลิต ผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้ขยะอาหารเกิดน้อยที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมตั้งเป้าส่งเสริมความยั่งยืน เช่น โครงการ Zero Waste University โดย CP AXTRA ยินดีสนับสนุนเนื่องจากสาขาของแม็คโคร-โลตัสกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้การขนส่งสะดวก
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า กลุ่มผู้บริโภคครัวเรือนและมหาวิทยาลัยสร้างฟู้ดเวสต์สูงสุดประมาณ 70% รองลงมาคือร้านอาหารและโรงแรม 20% ส่วนร้านค้าปลีกมีสัดส่วนเพียง 10% เนื่องจากมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ กรมควบคุมมลพิษกำลังจัดทำคู่มือสำหรับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้แนวทางปฏิบัติเป็นมาตรฐาน และปรับกลไกทางภาษีให้สามารถบริจาคอาหารได้เต็มที่
ส่วน นางศิริพร ทิ้งท้ายว่า การลดขยะอาหารต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีระบบช่วยสร้างประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค สัตว์ และสิ่งแวดล้อม การร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดขยะอาหารได้ถึง 30% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง