KEY
POINTS
ประเทศไทยเผชิญปัญหาธุรกิจสแกมเมอร์(แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กาสิโน ธุรกิจสีเทา ค้ามนุษย์ บัญชีม้า ฟอกเงิน บริษัทนอมินี) ที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองและนักธุรกิจในประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาล
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากการศึกษาของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ระบุว่า ไทยเกี่ยวข้องกับธุรกิจสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงกับกาสิโนและกลุ่มสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้จากการประเมินธุรกิจสแกมเมอร์ในกัมพูชามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 60% ของ GDP กัมพูชา ส่วนไทยคาดมูลค่าธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทานี้เกินกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลนี้ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแท้จริง แต่เป็นตัวฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
“ธุรกิจสแกมเมอร์เหมือนรถที่ควรวิ่งได้เต็มศักยภาพ 100% แต่ถูกฉุดให้วิ่งได้เพียง 90% ส่งผลให้ GDP จริงของไทยตํ่ากว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 10% ผลกระทบเชิงลบจากธุรกิจนี้ยังทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง การทำธุรกรรมระหว่างประเทศจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะจากประเทศที่มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างสิงคโปร์ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่มีการจัดการที่เด็ดขาด จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และการลงทุนจากต่างประเทศในระยะยาว"
ดร.อัทธ์ ชี้ว่าปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่ไทยจะรับมือได้ด้วยตัวเอง ต้องยกระดับการจัดการและขอความร่วมมือจากประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเกาหลีใต้ ที่มีศักยภาพในการเข้าจัดการปัญหานี้อย่างเด็ดขาดทั้งการยึดทรัพย์บริษัทที่เกี่ยวเนื่อง การทลายนิคมอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ โดยประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้สลัดตัวเอง ออกจากแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนต่อสาธารณชนโลกว่าประเทศไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม การจัดการในลักษณะ “โมเดลเกาหลี” ที่บุกไปถึงรังแก๊งสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาดนั้น ทำได้ยากในไทย เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากนักการเมืองและนักธุรกิจสีเทาภายในประเทศ
ในมุมของการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในเวทีโลก ดร.อัทธ์ แนะนำว่ารัฐบาลไทยควรใช้โอกาสนี้ประกาศตัวเป็นศูนย์กลางการทำธุรกิจสีขาวหรือศูนย์กลางการทำธุรกิจที่โปร่งใส โดยจัดสัมมนาและประชุมระหว่างประเทศที่กรุงเทพฯ เชิญประเทศสำคัญเข้าร่วม
พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมกับจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหราชอาณาจักร เพื่อผลักดันมาตรการจัดการที่เป็นรูปธรรมหากรัฐบาลสามารถดำเนินการได้สำเร็จ จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยและสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้กับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ
“หากเรายังปล่อยให้ปัญหานี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการจัดการที่เข้มข้น จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของไทยถูกเพ่งเล็งและลดทอนความน่าเชื่อถืออย่างมาก แตกต่างจากประเทศในอาเซียนอื่นที่ไม่มีประเด็นลักษณะนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การลงทุนจากต่างชาติในไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ”
โดยสรุป ธุรกิจสแกมเมอร์กำลังเป็นปัญหาเรื้อรังที่ฉุดรั้งศักยภาพเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงต้องเร่งมือในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนในการจัดการปัญหานี้ พร้อมผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางธุรกิจที่โปร่งใสในเวทีโลก เพื่อพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน