เอกชนจี้รัฐเร่งปั๊มเศรษฐกิจโค้งท้าย ห่วงหนี้ครัวเรือนรุม-กำลังซื้อตก ต้องโหมมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง

07 ต.ค. 2568 | 22:15 น.

เศรษฐกิจไทยโค้งท้ายปี 68 ยังน่าห่วง! หนี้ครัวเรือนพุ่ง-กำลังซื้อวูบ ฉุดรั้งการฟื้นตัว แม้ท่องเที่ยวเป็นความหวัง แต่มีแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยยังสูง ขณะที่ SME ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก แบกรับภาระหนี้ไฮบริด กกร.-ส.อ.ท. จี้รัฐบาลเร่งอัดมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง หวังเงินเฟ้อขยับพ้นแดนลบ

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี เพื่อรับมือกับภาวะกำลังซื้อที่ถดถอยอย่างหนัก
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการบริโภคภายในประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเปราะบางและไม่ทั่วถึง
  • ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชนคือการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาหนี้สิน การดูแลค่าเงินบาท และการหาตลาดใหม่เพื่อลดผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก

เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน ทำให้ยังต้องจับตาความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด แม้จะมีสัญญาณบวกจากการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างโครงการคนละครึ่งออกมา แต่แรงกดดันจากทั้ง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความผันผวนของ อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนก็ยังเป็นตัวถ่วงสำคัญ

หลายสำนักยังคงมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่าง เปราะบางและไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศ และการบริโภคภายในประเทศที่ยังไม่กลับมาแข็งแกร่งอย่างที่ควรจะเป็น คำถามสำคัญที่กำลังถูกจับตา รัฐบาลจะมีมาตรการรับมืออย่างไร เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงความเสี่ยงนี้ไปได้ และจะสามารถจุดพลุให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากภาวะเงินเฟ้อที่ติดลบหรือต่ำกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ 1-3 % กำลังสะท้อนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลือของปีว่า มีกำลังซื้อถดถอยจากปัญหาหนี้ครัวเรือน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย และเงินบาทแข็งค่า ทำให้การนำเข้าพลังงานที่เป็นหมวดใหญ่ลดลง นำไปสู่สถานการณ์ที่ประชาชนในภาพรวมรู้สึกว่าเงินไม่สะพัด ไม่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะต่างจังหวัดจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณชี้วัดตามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ว่าจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำในช่วง 4 เดือน ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. และส.อ.ท. เสนอ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือแพจเกจท่องเที่ยวที่อาจจะเกิดขึ้นนระยะข้างหน้า สิ่งดังกล่าวเหล่านี้จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าหลังจากที่ทำมาตรการ หากเงินเฟ้อดีขึ้นจากติดลบขยับขึ้นมาเป็น 0-1% หรือสูงกว่าศูนย์ได้ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นที่เห็นผล

“เวลานี้รัฐบาลและทีมงานเศรษฐกิจน่าจะทราบถึงสัญญาณดังกล่าวแล้ว ดังนั้ ก็จะต้องหามาตรการเพื่อมากระตุ้น โดยเชื่อว่าหากสามารถกระตุ้นได้ดีตัวชี้วัดก็จะแสดงให้เห็นว่า ตัวเลขเงินเฟ้อขยับขึ้นมาใกล้ศูนย์ได้ ก็ถือว่ามาตรการเกิดผ แต่ถ้าสามารถขยับขึ้นมาที่ระดับ 0-1% ก็ถือว่ายื่งประสบความสำเร็จ”

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สะท้อนว่า การใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ณ เวลานี้ได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งในโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังถือเป็นงานหนัก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากนักที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ หากรัฐบาลได้นำผลการหารือร่วมระหว่างผู้บริหารของ ส.อ.ท. กับนายกรัฐมนตรี และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา หากสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และกำลังซื้อได้

“จุดต่ำสุดข้างต้นที่มองว่าเป็นความท้าทายคือ การใช้กำลังการผลิตของหลายอุตสาหกรรมในไทย จากที่สำรวจดูมีมากกว่า 20 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เริ่มได้รับผลกระทบการใช้กำลังผลิตที่ต่ำลง จากปัญหาการชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐอเมริกา หลังมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีก 19% ซึ่งขณะนี้ส.อ.ท.ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการหาตลาดใหม่เพื่อลดผลกระทบตลาดสหรัฐ และช่วยเพิ่มยอดขาย”

ขณะที่ในปี 2569 ผู้ประกอบการคงทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ไม่ได้ ต้องปรับตัวในหลายด้าน เช่น เน้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดคาร์บอนในการผลิต หาพันธมิตรทางการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออก กลาง รวมถึงการเร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ห่วงภาคการส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐฯ และตลาดอื่น ๆ จะชะลอตัวลง หลังสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% ซึ่งจะส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หลังช่วง 8 เดือนแรก การส่งออกไทยไปสหรัฐและตลาดอื่น ๆ ในภาพรวมยังขยายตัวได้ เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการขึ้นภาษีของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ (เริ่มบังคับใช้ 7 ส.ค. 68) และเวลานี้คู่ค้ายังมีสต๊อกสินค้าจำนวนมาก เฉลี่ยยังใช้ได้อีกประมาณ 3 เดือน ทำให้ชะลอการนำเข้า

“สิ่งที่คาดหวังจากรัฐบาลนับจากนี้ ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าคือ การแก้ไขปัญหาเงินบาท อย่าให้แข็งค่ามากกว่าในภูมิภา การแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน เรื่องของหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน หนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อประคับประคองให้เขาผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากปรับลดลงได้อีกจะช่วยเรื่องสภาพคล่องได้มาก เพราะยุคนี้ธุรกิจทำกำไรยาก หากผลิตสินค้าขายแล้วยังไม่พอจ่ายดอกเบี้ยก็ลำบาก”

 

3 ความท้าทายดึงเศรษฐกิจพ้นกับดัก

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ให้ความเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผู้ประกอบการ SMEs กำลังเผชิญกับ “กับดักทางเศรษฐกิจ” ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้สินที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ 3 ความท้าทายเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเข้ามาดำเนินการอย่างเข้มข้น ได้แก่ 1. การแก้กับดักหนี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีหนี้ครัวเรือนที่ด้อยคุณภาพ ควบคู่ไปกับปัญหาหนี้เสียและหนี้นอกระบบที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยต้องมีการกำหนดเจ้าภาพที่ชัดเจน, การจัดตั้งผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางและ การจัดการหนี้ไฮบริดควบคู่กันไป

จากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า SMEs 45% มีลักษณะเป็น “หนี้แบบไฮบริด” ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบควบคู่กันไป ดังนั้นจึงต้องแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งสองส่วนไปพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นจะจะมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นหนี้เสียใหม่ได้ในที่สุด นอกจากนี้ต้องดำเนินการฟื้นฟูและพัฒนาเพื่อการกลับเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีขีดความสามารถในการกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ได้อีกครั้งอย่างมั่นคง

2. การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนผ่านการยกระดับขีดความสามารถ โดยสมาพันธ์ฯ สนับสนุนแนวทางที่ต้องการให้การกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเป็น “ระยะสั้น แต่ได้ยาว” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งการที่เศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นให้เกิดผลยาวนานได้นั้น อาจจะต้องมีการปรับกระบวนการ ในการ “สร้างแรงจูงใจ” เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบ มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลไกต่าง ๆ ของภาครัฐได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้

อย่างไรก็ดี การกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวจะไม่นำมาซึ่งความยั่งยืน หากไม่มีการทรานส์ฟอร์มก้าวไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง AI (ปัญญาประดิษฐ์), Digital Technology รวมถึงการนำ นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน หากผู้ประกอบการไม่ปรับตัวจะขาดความยั่งยืน นอกจากนี้ การทำเรื่องเหล่านี้ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้ SMEs มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงต้องดำเนินไปควบคู่ไปกับการยกระดับเพิ่มขีดความสามารถ

3. การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการใช้ประโยชน์ FTA รัฐบาลต้องเร่ง “เจรจา FTA” (ข้อตกลงการค้าเสรี) และดำเนินการเพื่อให้ผู้ประกอบการในทุก ๆ ขนาด สามารถเข้าถึงและเข้าใจ ตลอดจนใช้ประโยชน์จาก FTA ในทุกฉบับได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการขยาย FTA ไปยังประเทศอื่น ๆ หรือในกลุ่มอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมีเป้าหมายในการที่จะขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการ การดำเนินการในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการขยายตลาดนี้ จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ปลายปีนี้

SME ยังมีปัญหาเข้าถึงแหล่งเงินทุน

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 ยังพบว่าการเข้าถึงสินเชื่อของ SME โดยเฉพาะ Micro SME ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งคลี่คลาย โดยเฉพาะสินเชื่อรายละราว 90,000-150,000 บาท ที่ยังเป็นจุดเปราะบางของระบบการเงิน

ทั้งนี้ แม้เอสเอ็มอีหลายรายจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ แต่สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังมองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ “รีเจคเรท” เพิ่มขึ้นจากระดับปกติราว 10% เป็น 15-18% ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังไม่คลี่คลาย และถือเป็นความท้าทายสำคัญของไตรมาส 4 ปีนี้

ดังนั้น เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ บสย.ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการค้ำประกันสินเชื่อภายใต้ PGS11 ที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่ราว 5,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อแก่เอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงานภาครัฐ ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนขนาดใหญ่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี

“รัฐบาลเองมีท่าที “โปรแอคทีฟ” มากขึ้นในการออกแบบโครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีที่เข้าถึงแหล่งทุนยาก ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มสภาพคล่องให้หมุนเวียนต่อเนื่องในระบบ”

นายสิทธิกร ยังฝากถึงรัฐบาลให้ช่วยดูแลเรื่องสภาพคล่องของเอสเอ็มอีทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำว่ามาตรการค้ำประกันสินเชื่อยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ภาครัฐเริ่มเปิดโอกาสให้ บสย. เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อในระบบ Non-Bank และ นาโนไฟแนนซ์ ได้ ซึ่งจะทำให้มีพันธมิตรทางการเงินรายใหม่เข้ามาเสริมกำลัง และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงมากขึ้นในปีหน้า

สำหรับปี 2569 บสย.เตรียมวางบทบาทตัวเองให้เป็น “SME Gateway” เพื่อเปิดทางให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้สะดวกขึ้น พร้อมใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อช่วยเหลือรายที่ขาดคนค้ำ โดยจะเน้นช่วยเหลือใน 6 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มไมโครเอสเอ็มอีหรือพ่อค้าแม่ค้า สินเชื่อรายละ 50,000-90,000 บาท, กลุ่มเอสเอ็มอีทั่วไป, กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ, กลุ่มที่ต้องการปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ, กลุ่มผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์พลังงานสะอาด (Transformation Loan) และกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อเพื่อจัดหารถกระบะหรือรถยนต์เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ