KEY
POINTS
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่แก้ไข คือประเด็นภาษีสหรัฐ (Reciprocal Tariff) ซึ่งไทยเพิ่งปิดดีลได้ที่ 19% ถือเป็นเพียงขั้นแรกของการเจรจาเท่านั้น และยังต้องหารือเชิงลึกในรายละเอียดอีกหลายด้าน เช่น มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี การตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า และสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ และจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเกี่ยวโยงกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
เขาระบุว่า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ไทยถูกเก็บเพิ่มขึ้น 19% เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ทิศทางการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวเฉพาะ อย่างยิ่งในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แม้ว่าในช่วง 8 เดือนแรกการส่งออกของไทยยังขยายตัวสูงถึง 27.62% ก็ตาม พร้อมขอให้ภาครัฐช่วยดูแลสภาพคล่องและแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ดูแลค่าเงินให้อ่อนค่า
สถานการณ์ดังกล่าว ฉุดให้คำสั่งซื้อปลายปีเริ่มชะลอลง ผู้ประกอบการไม่กล้าผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินจำเป็น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหารที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศซึ่งซื้อขายเป็นเงินบาทและมีมาร์จิ้นต่ำได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ดียังคาดว่าการส่งออกอาหารปีนี้จะยังคงขยายตัวเป็นบวกจากมูลค่า 1.63 ล้านล้านบาทในปี 2567
พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนยังเสนอให้รัฐบาลเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่ชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดการใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ ควบคู่กับการเร่งเจรจากับสหรัฐ เพื่อลดอัตราภาษีตอบโต้และเพิ่มผลประโยชน์ให้ไทยมากขึ้น เหมือนที่หลายประเทศกำลังเจรจากับสหรัฐ