รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2
สำหรับการคำนวณค่า K ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณค่า K ตามที่ระบุไว้ในสัญญา โดยใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K0)2 28 วัน ก่อนยื่นของประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532
ส่วนการขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน 90 วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย
รายงานข่าวจากทำเนียบฯ กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณ (สงป.) เป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรี ก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้าง ขอให้ สงป. เป็นผู้วินิจฉัย และขอให้ รฟท. ขอทำความตกลงกับ สงป. อีกครั้งหนึ่งต่อไป
สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต เป็นโครงการที่รองรับการให้บริการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับระบบรถไฟทางไกลสายภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีสถานีรถไฟกลางบางซื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางรถไฟแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร
และเป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายการเดินทางที่สำคัญระหว่างรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) กับโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 ให้ใช้แหล่งเงินกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เพื่อดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ซึ่งตามระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทยว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. 2544 ข้อ 24 กำหนดให้การจ้างโดยวิธีประกวดราคานานาชาติให้ส่วนงานถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแหล่งเงินกู้หรือแหล่งให้เงินช่วยเหลือ ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) (ค่า K)
ขณะเดียวกันส่งผลให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่า K ของ JICA ที่มีการใช้ค่าดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ของโครงการฯ ช่วงบางซื่อ - รังสิต ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น
สำหรับหลักเกณฑ์ของ JICA หลักเกณฑ์ของ สงป. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532ใช้ค่าดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ณ 28 วัน ก่อนยื่นเอกสารประกวดราคา ใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ในเดือนที่เปิดซองประกวดราคา
ทั้งนี้รฟท. แจ้งว่า ปัจจุบันการดำเนินโครงการฯ ช่วงบางซื่อ – รังสิต ในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ 1 และ 2 เสร็จสิ้นแล้ว และผู้รับจ้างได้มีการร้องขอเงินค่า K งานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ของโครงการฯ ช่วงบางซื่อ - รังสิต ทั้ง 2 สัญญา ภายในระยะเวลาที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม สงป. มีหนังสือเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ถึง รฟท. แจ้งว่า การพิจารณาเงินค่า K ตามเงื่อนไขสัญญาโครงการฯ ช่วงบางชื่อ - รังสิต เป็นการคำนวณโดยใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532
ดังนั้น หาก รฟท. มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามข้อผูกพันสัญญาดังกล่าว ก็จะต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการฯ ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ 1 และ 2
ทั้งนี้ เพื่อให้ สงป. มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างและจัดหาแหล่งเงินดังกล่าวต่อไป กระทรวงคมนาคมจึงขอนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 ในครั้งนี้
อย่างไรก็ดีกระทรวงการคลัง (กค.) สงป. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบในการบริหารค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามสัญญาให้มีความเหมาะสม โดยในกรณีที่ค่าใช้จ่าย เช่น วัสดุ ก่อสร้าง ค่าน้ำมัน) มีการปรับขึ้นหรือลดราคาลง เมื่อเปรียบเทียบจากวันที่มีการเปิดซองเสนอราคากับวันที่ส่งมอบงานส่งผลให้รัฐต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายให้กับคู่สัญญา