KEY
POINTS
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ของไทยที่ติดลบต่อเนื่องนานถึง 5 เดือน (เม.ย.-ส.ค. 2568) เป็นปรากฏการณ์ที่น่าติดตาม เพราะสามารถสะท้อนถึงหลายประเด็นทางเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ โดยทางบวกคือ เป็นผลจากราคานํ้ามัน/พลังงานลดลง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรหรืออาหารสดลดลงตามฤดูกาลหรืออุปทานที่เพิ่มขึ้น กรณีนี้ไม่ใช่ภาวะ “เงินฝืด” (Deflation) ที่น่ากังวลมากนัก เพราะอุปสงค์ของผู้บริโภคยังคงมีอยู่ และ core inflation (เงินเฟ้อพื้นฐาน) ยังเป็นบวก
แต่อีกด้านหนึ่งสะท้อนถึงภาวะอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ซึ่งหากเงินเฟ้อติดลบเพราะผู้บริโภคจับจ่ายน้อยลง ราคาสินค้าจึงต้องลดลงตาม เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเรื่องรายได้ หากสัญญาณเหล่านี้เกิดจริง และ core inflation ก็ติดลบด้วย จะสะท้อนถึง “เงินฝืด” (Deflation) หากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส ซึ่งเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะกระทบทั้งการบริโภค การผลิต และการจ้างงาน
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากเงินเฟ้อทั่วไปของไทยที่ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 (เม.ย.-ส.ค. 2568) ซึ่งหากในเดือนกันยายนยังติดลบเป็นเดือนที่หก หรือติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส ในทางเทคนิคอาจถือได้ว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด หากเงินเฟ้อที่ติดลบดังกล่าวมีสาเหตุมาจากประชาชนลด/ไม่จับจ่ายใช้สอย เนื่องจากรายได้ไม่เพิ่มขึ้น ต้องประหยัด ลดการอุปโภคบริโภคจากสินค้าราคาสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีขยายตัวในอัตราตํ่าได้
อย่างไรก็ดี จากที่สภาพัฒน์ตั้งเป้าหมายจีดีพีไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.0% (ณ ส.ค. 2568) หากรัฐบาลใหม่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อติดลบที่มาจากการบริโภค และกำลังซื้อของประชาชนหดตัว และเพื่อจีดีพีไทยขยายตัวได้ที่อัตราดังกล่าว จะต้องใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย เช่น ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง” หรือการลงทุนภาครัฐที่ก่อให้เกิดการจ้างงานในเดือนที่เหลือของปีนี้ โดยจะต้องใช้เงินประมาณ 3-4 แสนล้านบาทเพื่อการดังกล่าว ซึ่งงบประมาณอาจมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะเข้าสู่ระบบในไตรมาสที่สี่ของปีนี้
“น่าจะใช้เงินประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค การลงทุนภาครัฐเพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน การช่วยเหลือในภาคเกษตร และเอสเอ็มอี ถึงจะทำให้จีดีพีโตได้ในช่วง 1.5-2% ในปีนี้"
ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่นอกจากต้องเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนแล้ว ยังต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเรื้อรัง เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% ต่อจีดีพี (ณ สิ้นไตรมาสหนึ่งปี 2568 อยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน รวมถึงปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงเกือบ 70% ของจีดีพี (11.6 ล้านล้านบาท) ซึ่งทั้งสองปัจจัยถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ฉุดให้เศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าได้ไม่เต็มศักยภาพ เพราะรายได้ต้องนำไปจ่ายหนี้
นอกจากนี้ สิ่งรัฐบาลต้องทำในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลเฉพาะกาลเพื่อนำสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ คือต้องบอกให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% ต่อปี) เพื่อกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีก เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการลดภาระต้นทุนในการกู้ยืมเงิน และช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพื่อให้ธุรกิจได้ไปต่อ
“ในรัฐบาลชุดใหม่ รัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงพาณิชย์ ต้องเร่งทำตลาดส่งออกเชิงรุก โดยเร่งหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐที่มีแนวโน้มไทยจะส่งออกไปได้ลดลงจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอีก 19% ส่วนกระทรวงเกษตรฯ หรือในภาคเกษตรกร คาดรัฐบาลจะยังดำเนินนโยบายประชานิยมโดยแจกเงินช่วยเหลือเพื่อรักษาฐานคะแนนเสียง ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรต้องวางแผนให้ดีและเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสูงสุด”