เอกชนชง 3 เรื่องเพิ่มกำลังซื้อ ดันนโยบาย ‘อนุทิน’ เห็นผลเชิงบวก

09 ก.ย. 2568 | 05:42 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ย. 2568 | 05:49 น.

ส.อ.ท.ชง 3 เรื่องหลักช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ดันนโยบาย ‘อนุทิน’ เห็นผลเชิงบวก ระบุต้องการทีมเศรษฐกิจทำงานเป็นทีม ต้องบูรณาการร่วมกันอย่างจริงจัง

KEY

POINTS

  • เสนอให้ตั้งทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถและตัดสินใจได้รวดเร็วเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ
  • เสนอให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบและกระตุ้นการใช้จ่าย
  • เสนอให้เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงรุกเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเน้นกระจายรายได้สู่เมืองรอง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เกี่ยวกับนโยบายที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีประกาศออกมา 4 ด้าน ว่า สิ่งที่นายกฯอนุทินประกาศไว้ 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ พลังงาน และหนี้ 

,2.การแก้ปัญหาปากท้องและสวัสดิการ ,3.การแก้ปัญหาด้านความมั่นคงและภัยพิบัติ และ4.การปรับระบบราชการ เหล่านี้ ถือว่าครอบคลุมโจทย์ใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญ ทั้งเรื่องค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือน ปัญหาต้นทุนพลังงาน และความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก

แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ระยะเวลา 4 เดือนนั้นสั้นมาก ไม่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง หากรัฐบาลเลือกทำมาตรการที่เร่งด่วนและจับต้องได้ก็ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้

“ต้องการเห็นการบรรเทาภาระพลังงานและค่าครองชีพ การช่วยเอสเอ็มอี (SMEs) ให้เข้าถึงสภาพคล่อง การเร่งเจรจาการค้าระหว่างประเทศไม่ให้สะดุด รวมถึงการปรับกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน เพื่อเอื้อต่อการลงทุน ดังนั้น ทิศทางที่นายกฯ วางไว้ถือว่าถูกต้อง แต่ต้องทำให้เฉพาะเจาะจงและทันทีเพื่อให้เห็นผลจริงในช่วงเวลาจำกัดนี้”

เอกชนชง 3 เรื่องเพิ่มกำลังซื้อ ดันนโยบาย ‘อนุทิน’ เห็นผลเชิงบวก

อย่างไรก็ตาม หากถามว่ารัฐบาลควรเพิ่มเติมมาตรการ หรือนโยบายใดอีกเพื่อให้มีแรงส่งที่ชัดเจนใน 4 เดือนนั้น มองว่ามีอยู่ 3 เรื่องหลักที่คิดว่าจำเป็นมาก ประกอบด้วย 

  • การตั้งทีมเศรษฐกิจที่ดี เก่ง มีความเป็นมืออาชีพ และตัดสินใจได้เร็ว เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน ค่าเงิน หรือความผันผวนจากต่างประเทศ 
  • การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ที่ยังติดขัดอยู่ ถ้าเงินไม่ลงสู่ระบบ เศรษฐกิจก็จะไม่หมุน เงินงบประมาณเป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุน การเร่งเบิกจ่ายจึงเป็นสัญญาณที่สำคัญมาก
  • การเดินหน้าท่องเที่ยวเชิงรุก เพราะนี่คือ Quick win ที่สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้ทันที โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน และต้องไม่ลืมที่จะกระจายรายได้ไปยังเมืองรอง ไม่ใช่เพียงจังหวัดหลักเพียง 4–5 จังหวัด เพราะเมืองรองอีกจำนวนมาก ที่เป็นทั้งธุรกิจท้องถิ่นและ SMEs โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็ก หรือกิจการที่เป็นของคนไทย 100% ไม่ค่อยได้อานิสงส์ ดังนั้น ต้องกระจายให้ทุกจังหวัดได้รับประโยชน์ และลงให้ลึกที่สุดไปถึงระดับรากหญ้า

“หากทำทั้งสามเรื่องดังกล่าวไปพร้อมกัน จะช่วยเสริมแรงกับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ และทำให้ 4 เดือนนี้เกิดผลเชิงบวกที่ชัดเจนขึ้น”

นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า โฉมหน้าของ ครม.ใหม่ที่ภาคเอกชนต้องการเห็นก็คือ ทีมเศรษฐกิจที่ทำงานเป็นทีม เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ประเทศต้องการตอนนี้ เนื่องจากประเด็นเศรษฐกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ เกษตรฯ และการท่องเที่ยวด้วย

แม้รัฐมนตรีแต่ละท่านจะมาจากต่างพรรค แต่ต้องสามารถบูรณาการการทำงานได้อย่างจริงจัง ทุกวินาทีใน 4 เดือนนี้มีค่า จึงต้องการเห็นทีมที่ทั้งรู้ลึก รู้จริง และพร้อมตัดสินใจอย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนและนักลงทุน

“ภาคเอกชพร้อมสนับสนุนและร่วมมืออย่างใกล้ชิด แต่สิ่งที่ต้องการเห็นคือ ความชัดเจนและความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า โครงการ “คนละครึ่ง” เป็นมาตรการที่ดีและเคยพิสูจน์แล้วว่าได้ผล อีกทั้งแอปพลิเคชันนี้ก็มีพร้อมแล้ว ระบบมีความแม่นยำ โปร่งใส ใช้งานได้สะดวก รวดเร็วและประชาชนได้รับประโยชน์ทั่วถึง น่าจะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจได้เร็วในสถานการณ์เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ขอเรียนย้ำว่าทุกวินาทีใน 4 เดือนนี้มีค่า รัฐบาลต้องรีบเร่งในการแก้ปัญหาปากท้องและฟื้นความเชื่อมั่น เพราะถ้าเศรษฐกิจทรุดหนักไปกว่านี้ การประคองก็จะยากขึ้น

“ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดที่ท้าทายที่สุดในรอบหลายปี เราต้องการทีมที่แข็งแกร่ง และนโยบายที่ลงลึกจริงๆ เพื่อพาประเทศผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้”