KEY
POINTS
ส่งออกไทย 7 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่ารวม 195,433 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6.50 ล้านล้านบาท) ขยายตัว 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย มูลค่าส่งออก 39,708 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.32 ล้านล้านบาท) ขยายตัว 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออกของไทยไปสหรัฐที่ขยายตัวสูงขึ้นมากดังกล่าว ทุกฝ่ายทราบดีว่ามีส่วนสำคัญจากผู้นำเข้าของสหรัฐเร่งการนำเข้าสินค้า ก่อนที่ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ทั้งนี้หลังสหรัฐมีการขึ้นภาษีสินค้าไทยอีก 19% สถานการณ์คำสั่งซื้อสินค้าไทยส่วนใหญ่ ณ เวลานี้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์คำสั่งซื้อสินค้าข้าวจากสหรัฐอเมิกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของข้าวหอมมะลิไทยในเวลานี้ชะลอตัวลง หลังจากก่อนหน้านี้ภาษีตอบโต้ของสหรัฐยังไม่มีผลบังคับใช้ ผู้นำเข้าได้เร่งนำเข้าสินค้าข้าวจากไทย เพราะเกรงว่าไทยจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงจากสหรัฐ จากเดิมสินค้าข้าวได้รับการยกเว้นภาษีจากสหรัฐ โดยเสียเพียงค่าธรรมเนียมการนำเข้าเล็กน้อยเท่านั้น
“ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้การนำเข้าข้าวของสหรัฐที่ปกติจะนำเข้าข้าวจากไทยปีละประมาณ 8 แสนตัน ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิประมาณ 6.5 แสนตันน่าจะดร็อปลง จากภาษีนำเข้า 19% ที่มีผลบังคับใช้แล้วทำให้สินค้ามีต้นทุน และราคาที่สูงขึ้น จากก่อนหน้านี้คู่ค้าได้ซื้อล่วงหน้าไปก่อนและไปตุนไว้เพื่อขายในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ก็อาจทำให้ออร์เดอร์การสั่งซื้อในช่วงนี้น่าจะตกลง จนกว่าสต็อกเดิมเขาหมด ค่อยมาว่ากันใหม่”
อย่างไรก็ดี คาดการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐในปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับทุกปีที่ผ่านมา เพราะคู่แข่งขันส่งออกข้าวไทย เช่นเวียดนามก็ถูกสหรัฐขึ้นภาษี 20% และอินเดียถูกเก็บในอัตราสูงถึง 50% ทำให้ข้าวไทยยังแข่งขันได้ภายใต้ภาษีใหม่ เทียบกับคู่แข่งแล้วภาษีไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก การนำเข้าในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้จะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด คงขึ้นอยู่กับผู้บริโภค ว่าจะรับราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามต้นทุนภาษีได้มากน้อยเพียงใด
ด้าน นายหลักชัย กิตติพล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยางพาราไทย กล่าวว่า การส่งออกยางพาราที่ใช้เป็นวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ยางพารา เช่น ถุงมือยางจากไทยไปสหรัฐในช่วงนับจากนี้น่าจะยังชะลอตัว เพราะสต็อกเก่าลูกค้าที่สั่งนำเข้าไปก่อนหน้านี้ก่อนภาษีจะปรับเพิ่มขึ้นยังคงมีมาก จากเดิมในส่วนของถุงมือยางได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า แต่เวลานี้ต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 19% ส่วนยางล้อรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะ สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าที่ 25% ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และไม่ต้องเสียภาษีตอบโต้เพิ่มในส่วนนี้
ส่วนในสินค้ายางล้อรถบัส ยางรถสิบล้อ และยางล้อขนาดใหญ่ เดิมเสียภาษีนำเข้าที่ 12% ต้องเสียเพิ่มอีก 19% รวมเป็น 31% ซึ่งภาษีตอบโต้ในส่วนที่เพิ่มขึ้น 19% นี้ทราบมาว่าส่วนใหญ่ผู้นำเข้าจะเป็นคนรับภาระ จากก่อนหน้านี้ภาษีนำเข้า 12% ผู้ส่งออกไทยเป็นคนจ่าย ซึ่งต้องเฉลี่ยความรับผิดชอบกัน
“ราคายางพาราในประเทศไทย หลังรับทราบความชัดเจนภาษีสหรัฐที่ 19% แล้ว ยังมีขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ไม่มาก เพราะทุกคนทราบดีว่านอกจากเรื่องภาษีที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นผลจากเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดีเวลานี้ราคายางในประเทศก็ปรับตัวดีขึ้น
โดยในข้อเท็จจริงเวลานี้ผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปยางก็ไม่ได้เร่งซื้อยางวัตถุดิบ ยังซื้อตามภาวะปกติที่มีออร์เดอร์เข้ามาเท่านั้น ภาพรวมปีนี้การส่งออกยางพาราของไทยในแง่มูลค่าคาดจะยังขยายตัวได้ที่ประมาณ 5% (ปี 2567 ไทยส่งออกยางพารามูลค่า 1.75 แสนล้านบาท) ส่วนในแง่ปริมาณไม่น่าจะเพิ่มขึ้น (ปี 2567 ไทยส่งออกยางพารา 2.8 ล้านตัน)” นายหลักชัย กล่าว