TFM เผยดีมานด์เลี้ยงกุ้ง-ปลาพุ่ง ออเดอร์อาหารสัตว์น้ำทะลัก หนุนงบ Q3 เด่น

18 ส.ค. 2568 | 00:30 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ส.ค. 2568 | 13:23 น.

TFM ส่งซิกครึ่งหลังปี 69 ดีมานด์อาหารเลี้ยงกุ้ง-ปลาพุ่ง มั่นใจยอดขายโตไม่ต่ำกว่า 7 - 9% ตามเป้า เผยเล็งควบรวมกิจการเสริมแกร่งยอดขาย 5 ปีทะลุ 1 หมื่นล้าน

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดมุมมองกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงครึ่งหลังปี 68 ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาความต้องการบบริโภคและการผลิตสัตว์น้ำเพื่อส่งออกมีการเติบโต โดยเฉพาะในตลาดอินโดนีเซีย เพราะในช่วงครึ่งแรกปีนี้เกิดโรคระบาดในสัตว์น้ำ ส่งผลให้การเริ่มต้นฤดูเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีสัญญาณเชิงบวก ต่อดีมาน์อาหารสัตว์น้ำที่ค่อนข้างสูงในไตรมาส 3/68 เป็นต้นไป

บริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตอาหารสัตว์น้ำทั้งกุ้งและปลาในช่วงไตรมาสที่ 3 - 4/68 จะอยู่ที่เฉลี่ยประะมาณ 2 แสนตัน และ 2.5 แสนตัน ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ประกอบกับจากการเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) เครื่องจักรใหม่ที่ติดตั้งแล้วเสร็จ จะทำให้มีกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น สนับสนุนการเติบโตของยอดขาย

"ภาพรวมยอดขายในช่วงไตรมาส 3/68 คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน เนื่องจากบริษัทได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้า (ออเดอร์) 2 - 3 เดือน เข้ามาแล้วในปัจจุบัน ทำให้เห็นถึงทิศทางถึงความต้องการสินค้าอาหารสัตว์น้ำทั้งกุ้งและปลาที่เพิ่มขึ้น และทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ดีมากยิ่งขึ้น"

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตราการเติบโตของยอดขายในช่วงครึ่งหลังปี 68 จะทำได้ดีใกล้เคียงกับครึ่งแรกปีที่ระดับราว 7 - 9% และเชื่อว่าจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ที่ระดับ 19 - 21% สอดคล้องตามแผนการบริหารพอร์ต การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

ตลอดจนการจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเดินหน้าบริหารอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย เพื่อสร้างสมดุลในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาวัตถุดิบในครึ่งหลังปีนี้ ทั้งกากถั่วเหลืองและปลาป่น ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน

5 ปี ยอดขายทะลุหมื่นล้าน

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนตามแผนการเติบโตระยะยาว เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้รวม 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ประมาณ 11% ต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว บริษัทได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและอินโดนีเซีย

โดยเน้นการขยายกำลังการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ปี 68 บริษัทวางงบประมาณลงทุนรวมกว่า 300 ล้านบาท การลงทุนในสายการผลิตอาหาร 4 สายการผลิต แบ่งเป็น สายการผลิตอาหารปลา 2 ไลน์ที่โรงงานมหาชัย และอาหารกุ้ง 2 ไลน์ที่โรงงานระโนด

ซึ่ง 3 ไลน์เป็นการเปลี่ยนเครื่องจักรเดิมเป็นระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย อีก 1 ไลน์เป็นการเพิ่มกำลังการผลิตอาหารกุ้งโดยใช้ระบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน รองรับความต้องการภาคใต้ ครอบคลุมกว่า 60% ของกำลังการผลิตรวม ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทไปสู่ระบบการผลิตอัจฉริยะตามแนวทาง Industry 4.0 เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและตลาดส่งออก

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความสนใจและเปิดโอกาสกว้างในการศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องและสามารถต่อยอดธุรกิจหลัก (core business) และอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ทั้งในลักษณะของการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายให้บริษัทได้ไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่บริษัทยังคงมุ่งลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างการเติบโตในระยะยาว ความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยกระแสเงินสดที่มั่นคง สภาพคล่องสูง หนี้สินต่ำ อีกทั้งยังมีอัตราการหมุนเวียนสินค้าที่ดีเหมาะสมกับสถานการณ์ ส่งผลให้มั่นใจว่าการเติบโตของผลการดำเนินงานจะทกได้ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ได้