สัญญาณเตือน ราคาส่งออก-นำเข้าสินค้า ก.ค.68 ชะลอ จับตาบาทแข็ง-ภาษีสหรัฐ

28 ส.ค. 2568 | 02:37 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ส.ค. 2568 | 02:44 น.

สนค.เผยดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าไทย ก.ค.65 ขยายตัวตามเร่งสต๊อกสินค้าก่อนสหรัฐฯขึ้นภาษี แต่ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลก-เงินบาทแข็งค่า

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวตามการเร่งสต๊อกสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนมาตรการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับการนำเข้าสินค้ายังขยายตัวเพื่อนำมาผลิตก่อนส่งออกเพิ่มขึ้น และรองรับการบริโภคภายในประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

ทั้งนี้ ดัชนีราคาส่งออก เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 111.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลง 0.5% สาเหตุจากราคาสินค้าเกษตร และเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมบางกลุ่มปรับลดลง จากปัญหาอุปทานล้นตลาด และความต้องการสินค้าชะลอลง 

โดยหมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้น 1.7% ได้แก่ ทองคำ ราคายังทรงตัวสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวตามการเติบโตของเทคโนโลยี 

หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้น 1.3% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น อาหารสัตว์เลี้ยง ตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะน้ำดื่ม และน้ำผลไม้ ตามความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 

ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลง 11.8% ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น และความความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 

 

สัญญาณเตือน ราคาส่งออก-นำเข้าสินค้า ก.ค.68 ชะลอ จับตาบาทแข็ง-ภาษีสหรัฐ

หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลง 5% ได้แก่ ข้าว จากอุปทานที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันด้านราคา รวมถึงความต้องการของตลาดบางประเทศลดน้อยลงจากสต๊อกข้าวคงเหลือภายในประเทศ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เมื่อเทียบกับปีก่อนราคายังปรับตัวลดลง เนื่องจากอุปทานล้นตลาด ประกอบกับอุปสงค์จากจีนชะลอลง

สำหรับ ดัชนีราคานำเข้า เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 115.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย ที่ 2.3% จากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการค้า อาจส่งผลต่อการชะลอการนำเข้าชั่วคราว 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคานำเข้ายังคงปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้น 7.8% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ 

หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้น 5.4% โดยเฉพาะทองคำ ได้รับปัจจัยสนับสนุน จากความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามความต้องการชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการผลิตและส่งออก และปุ๋ย ตามราคาปุ๋ยตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรีย และปุ๋ยที่มีส่วนผสมของ N P K 

หมวดสินค้าทุน สูงขึ้น 5.1% ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออก และการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการใช้เทคโนโลยีในประเทศเพื่อสนับสนุนการผลิต 

หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้น 1.3% โดยเฉพาะส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลง 11.5% โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ทยอยปรับลดลงในช่วงก่อนหน้า

 

สัญญาณเตือน ราคาส่งออก-นำเข้าสินค้า ก.ค.68 ชะลอ จับตาบาทแข็ง-ภาษีสหรัฐ

 

นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนสิงหาคม ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 

  • อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับไทยที่ 19% ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน 
  • ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 
  • สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก 

ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 

  1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก
  2. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้จะผ่อนคลายแต่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 
  3. ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายของหลายประเทศที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น ตลอดจนมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ 
  4. ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา 
  5. เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาคการส่งออกไทย