สหรัฐลดภาษี 19% คุ้มค่า! ไทยไม่หลุดเกมการค้าโลก รักษาส่งออก 1.9 ล้านล้าน

05 ส.ค. 2568 | 11:26 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2568 | 11:41 น.

วันที่ 7 สิงหาคม 2568 จะเป็นหมุดหมายสำคัญของระบบการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่จะมีผลบังคับใช้จริง ภายใต้กรอบข้อตกลง “Reciprocal Tariff” หรือการเก็บภาษีตอบโต้/ต่างตอบแทน

ทั้งนี้ฝ่ายไทยบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐเพื่อให้สินค้าไทยยังสามารถส่งออกเข้าสหรัฐในอัตราภาษีใหม่ที่ 19% ลดลงจากระดับเดิมที่สูงถึง 36%

ข้อตกลงนี้แม้จะถูกมองว่าไทยได้ประโยชน์จากการรักษาตลาด แต่แท้จริงแล้ว ไทยต้องแลกมาด้วยเงื่อนไขที่ไม่เบาทั้งในแง่การเปิดตลาด, การจัดซื้อพลังงาน และสินค้าเทคโนโลยีจากสหรัฐ ซึ่งในระยะยาวยังต้องประเมินว่า ไทยคุ้มค่าหรือแค่ชะลอแรงกระแทกในระบบการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไป

ภายใต้ดีลดังกล่าว ไทยตกลงที่จะยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐกว่า 10,000 รายการ ซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตร วัตถุดิบอุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย์ และสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มที่ไทยไม่สามารถผลิตเองได้ หรือผลิตได้ไม่เพียงพอ โดยรายการยกเว้นภาษีจะทยอยปลดล็อกเป็นระยะภายใน 3–5 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตภายในประเทศสามารถปรับตัวตามมาตรฐานการนำเข้าใหม่ของสหรัฐ

สหรัฐลดภาษี 19% คุ้มค่า! ไทยไม่หลุดเกมการค้าโลก รักษาส่งออก 1.9 ล้านล้าน

นอกจากนี้ สหรัฐยังมีสิทธิ์เสนอ “รายการเร่งด่วน” ซึ่งจะได้รับการเปิดตลาดเร็วกว่าปกติภายใน 1 ปี เช่น อุปกรณ์การแพทย์ ระบบไฟฟ้า และสารตั้งต้นชีวภาพ โดยไทยต้องประกันว่าไม่มีมาตรการอุปสรรคทางเทคนิคหรือกฎระเบียบภายในประเทศขัดขวางการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ

หนึ่งในเงื่อนไขที่ชัดเจนที่สุด คือ ไทยตกลงจะเพิ่มการนำเข้า ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐอเมริกาปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี คิดเป็นประมาณ 10% ของการนำเข้าพลังงานรวม เพื่อกระจายความเสี่ยงของแหล่งนำเข้า และเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการค้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

ไม่เพียงเท่านี้ ไทยยังมีแผนจะจัดซื้อเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐมากถึง 100 ลำภายในระยะเวลา 5–10 ปีข้างหน้า โดยเบื้องต้น บริษัทการบินไทยและสายการบินในเครืออยู่ระหว่างการจัดทำแผนลงทุนและการจัดหาเงินทุน ซึ่งการซื้อเครื่องบินเหล่านี้นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของดีลเจรจาทางการค้าแล้ว ยังช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานการบินของไทยในระยะยาว

นอกจากนี้สินค้าการเกษตรคืออีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไทยต้อง “ยอมถอย” ภายใต้ดีลนี้ โดยเฉพาะการยอมลดภาษีนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ จากเดิมที่เก็บในอัตราสูงถึง 73% ลงเหลือ 0% ภายในระยะเวลา 5 ปี เช่นเดียวกับ ถั่วเหลืองและข้าวบาร์เลย์ ที่จะได้รับโควตานำเข้าเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และลดการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงวิกฤต

แม้จะกระทบต่อเกษตรกรในระยะสั้น แต่รัฐบาลไทยวางระบบลำดับความสำคัญ ที่จะให้สิทธิผู้ผลิตในประเทศขายก่อนการนำเข้า พร้อมมาตรการอุดหนุนและส่งเสริมการยกระดับคุณภาพผลผลิตในประเทศให้แข่งขันได้

ถามว่าไทยได้อะไรจากดีลนี้? แม้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยในตลาดสหรัฐจะขยับจากเดิมที่ได้รับ GSP (0–5%) หรืออัตราภาษีนำเข้าตามปกติ(MFN) ที่แต่ละสินค้าเสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน ขึ้นมาเป็น 19% แต่ก็ยังถือว่า “ดีกว่า” ประเทศที่ไม่ได้ทำข้อตกลง ซึ่งต้องเผชิญอัตราสูงสุดถึง 40%

สินค้าไทยกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป ยังสามารถแข่งขันได้ เพราะไทยยังคงได้สิทธิประโยชน์ด้านต้นทุนวัตถุดิบและแรงงาน ขณะเดียวกัน สหรัฐยังให้การรับรองว่า จะไม่ใช้มาตรการกีดกันทางเทคนิคหรือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเกินสมควร กับสินค้าไทยในระยะเวลา 3 ปีแรกหลังดีลมีผล

อีกด้านหนึ่ง ข้อตกลงนี้ยังช่วยประกันความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มองไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

ในระยะสั้น ไทยอาจต้องแลกด้วยการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันบางส่วนในตลาดภายในประเทศ และเม็ดเงินจากการจัดซื้อเครื่องบินหรือพลังงานจากสหรัฐที่มหาศาล แต่หากประเมินจากมุมมองการรักษาตลาดหลักอย่างสหรัฐ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกปีละกว่า 1.6-1.9 ล้านล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าข้อตกลงนี้ ช่วยซื้อเวลา ให้กับผู้ส่งออกไทยและรักษาเสถียรภาพของระบบการค้าไทยในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดี หากไทยไม่สามารถปฏิรูปภาคการผลิตภายในให้ทันต่อการเปิดเสรีการนำเข้า หรือไม่สามารถดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นได้ ข้อตกลงนี้ก็อาจเป็นเพียงการ “ประวิงเวลา” โดยแลกกับตลาดใหม่ที่หายากในยุคเศรษฐกิจซบเซา

บทสรุปดีลภาษีไทย–สหรัฐในกรอบ Reciprocal Tariff อาจไม่ใช่ชัยชนะเต็มใบของฝ่ายไทย แต่ในเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศ และแรงกดดันทางการค้า การ “ยอมแลก” เพื่อรักษาตลาดอันดับหนึ่งของไทยไว้ ย่อมดีกว่าการเสียทุกอย่างโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในระยะยาวกุญแจสำคัญจะอยู่ที่การปรับโครงสร้างการผลิตและส่งออกของไทย ให้ตอบโจทย์การค้าโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง