วันนี้ (4 สิงหาคม 2568) นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ว่า การที่สหรัฐฯ เห็นชอบ อัตราภาษีนำเข้า 19% ถือเป็นข่าวดีและเป็นขั้นตอนแรกที่ช่วยให้ไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าไว้ได้
ทั้งนี้ หลังจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว จากนี้รอสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จะประกาศความตกลงอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเร็วๆ นี้ จากนั้นต้องนำเข้าการพิจารณาของรัฐสภาก่อนมีการลงนามข้อตกลงระหว่างไทยกับสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไทยจะต้องดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการค้าระหว่างประเทศ และเจรจาทางเทคนิคลงลึกในรายละเอียด หากมีการปรับเปลี่ยนอะไรที่ต้องแก้กฎระเบียบและกฎหมายไทย เช่น ต้องผ่านความเห็นชอบครม.และสภาฯก่อนด้วย
ทั้งนี้ การเจรจายังไม่สิ้นสุด โดยไทยยังต้องผลักดันในหลายประเด็นสำคัญ เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการคำนวณสัดส่วนของมูลค่าวัตถุดิบที่ผลิตภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือมาตรการ Regional Value Content (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุดและสามารถปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบที่รุนแรง
"กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรการของสหรัฐฯ และการสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว นอกจากนี้เรายังเดินหน้าหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยไม่ละทิ้งตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ"
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ จะมีการหารืออย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรต่อเนื่อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและหามาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น การเตรียมความพร้อมต่อกฎ RVC ใหม่ และการใช้โครงการต่างๆ เพื่อบุกตลาดใหม่
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้รอว่า USDR หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกำหนดประกาศแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐ เพื่อยืนยันเจตนารมย์ของ 2 ประเทศที่จะเพิ่มการค้า และลดอุปสรรคระหว่างกัน จากนั้นถึงลงไปสู่เทคนิคการเจรจา นอกจากเรื่องอัตราภาษีนำเข้า เช่น สินค้าอ่อนไหว ไทยรับได้หรือไม่ได้อะไรบ้าง สัดส่วน Rules of Origin และ RVC ต่างๆทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงภาคบริการ ซึ่งยืนยันไม่มีการหารือในด้านความมั่นคง
สำหรับสินค้าอ่อนไหวที่หลายฝ่ายกังวล เช่น เนื้อวัว เนื้อสุกร ปัจจุบันไทยไม่ได้ห้ามนำเข้าจากทุกประเทศ แต่ระเบียบไทยห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง (เบต้าอะโกนิสต์) ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ สัดส่วนกฎถิ่นกำเนิดสินค้าจะกำหนดว่ามีเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ หรือ เงื่อนไขภาคการลงทุน เป็นต้น
"หลังจากออกถ้อยแถลงการณ์แล้ว จะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน ซึ่งสหรัฐเองก็จะหารือกับทุกประเทศกว่า 20 ประเทศ รวมถึงไทย คาดว่าใช้ตั้งแต่ 3 เดือน - 1 ปี โดยภาพรวมตอนนี้การส่งออกสหรัฐ ยังมีต่อเนื่อง ซึ่งการที่ไทยเจอภาษี 19 %แทนที่จะเจอภาษี 36 % หรือลดได้ 17% ทำให้เราประหยัดได้ถึงกว่า 3 แสนล้านบาท"
ทั้งนี้ อัตราภาษี 19 % จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้าหรือนำออกจากคลังสินค้าเพื่อบริโภค 7 วัน (ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 00:01 น.) ดังนี้
ด้านนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า พร้อมของบตั้งกองทุนเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบด้านกฎระเบียบตามกฎหมายและรอเข้าครม.พิจารณาเห็นชอบในเร็วๆนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี ที่ไม่เฉพาะผลกระทบจากภาษีสหรัฐเท่านั้น ซึ่งรัฐได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือแล้ว