จับตาผู้นำเข้าย้ายออร์เดอร์ไปเวียดนาม ประหยัดภาษีนำเข้าสหรัฐ มากกว่าไทยถึง 16%

11 ก.ค. 2568 | 09:50 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ค. 2568 | 12:31 น.

สินค้าไทยไปสหรัฐเสียเปรียบ จับตาคู่ค้าหันนำเข้าสินค้าเวียดนามเพิ่ม ชี้ประหยัดภาษีได้มากกว่าไทยถึง 16% ลุ้นปิดดีลภาษีไทยไม่เสียเปรียบและยังแข่งขันได้ “PJUS GROUP” ยันยังนำเข้าสินค้าไทย หลังแบรนด์ติดตลาด พร้อมปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนภาษี

นายประมุข   เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร PJUS GROUP  ผู้จัดหาและนำเข้าสินค้าไทยป้อนให้กับห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ รวมถึงเรือนจำในสหรัฐ และในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากที่ล่าสุดสหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยระดับสูงถึง 36% ขณะที่เวียดนามปิดดีลเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาสำเร็จ ได้ลดภาษีนำเข้าจาก 46% ลงเหลือ 20% ส่วนคู่แข่งขันในอาเซียน เช่น มาเลเซีย ได้รับอัตราภาษีที่ 25% และอินโดนีเซียที่ 32%

หากเปรียบเทียบภาษีของ 4 ประเทศนี้ ที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรงในการผลิตสินค้าและส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลักเช่นเดียวกัน จากอัตราภาษีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าไทยเสียเปรียบเพราะได้รับอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ในช่วงอีกประมาณ  3 สัปดาห์นับจากนี้ หากไทยไม่สามารถบรรลุผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐ และได้รับการปรับลดอัตราภาษีลงให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านได้ จะมีผลทำให้ผู้นำเข้าจะหันไปสั่งซื้อ(ออร์เดอร์) หรือย้ายฐานการสั่งซื้อรอบใหม่ไปยังเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มากขึ้น

เนื่องจากสินค้าที่ทั้ง 4 ประเทศผลิตจะเป็นสินค้าคล้ายกันกับไทย หรือสามารถทดแทนกันได้ โดยจากการสั่งซื้อจากประเทศเพื่อนบ้านจะประหยัดต้นทุนจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้มากกว่าประเทศไทย อาทิ สินค้าไทยกับเวียดนาม เมื่อเทียบแล้ว การสั่งซื้อจากเวียดนาม จะประหยัดภาษีนำเข้าซึ่งเป็นอีกต้นทุนสำคัญของสินค้าได้มากกว่าไทยถึง 16%

“ในเวลาที่เหลืออีกประมาณ 3 สัปดาห์นับจากนี้ ก่อนถึงเส้นตายที่สหรัฐจะจัดเก็บภาษีสินค้าไทยและสินค้าจากทั่วโลกในอัตราภาษีใหม่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 หากไทยไม่สามารถเจรจาบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐให้ปรับลดภาษีลงจาก 36% ได้จะกระทบต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐที่จะลดลงมากกว่าที่คาดคิดอย่างแน่นอน

ซึ่งก็ขอให้กำลังใจรัฐบาลในการเร่งเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ดีลภาษีที่ดีที่สุด ไม่เสียเปรียบคู่แข่งขัน หรือไม่เสียเปรียบมากเกินไป เวลานี้เป็นเวลาที่คนไทยต้องผนึกกำลังกันทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงภาคการเมืองก็อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน จะทำอะไรก็เร่งทำ คนที่มีหน้าที่เจรจาก็ต้องเร่งทำ เพื่อให้สินค้าไทยยังคงแข่งขันได้”นายประมุข กล่าว

อย่างไรก็ดี  ในส่วนของ PJUS GROUP ยังคงยืนยันที่จะยังมีการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยต่อไป เนื่องจากได้ทำตลาดในสหรัฐมานาน ก่อนหน้านี้ก็ได้ปรับขึ้นราคาสินค้าตามอัตราภาษีพื้นฐาน (Baseline Tafiff) ที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้วในอัตรา 10% ส่วนอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) หากไทยถูกจัดเก็บในอัตรา 36% หรือต่ำกว่านั้น ทางกลุ่มก็จะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งผู้ที่จะต้องแบกรับภาระก็คือผู้บริโภคชาวอเมริกัน

“สินค้าที่ทางกลุ่มได้จัดหาและนำเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ อยู่ในหมวดอาหาร ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ จากที่สินค้าของทางกลุ่มมีแบรนด์ของตัวเองอยู่แล้ว (แบรนด์หลักคือ แบรนด์ QUEEN ELEPHANT) รวมถึงในแบรนด์ของลูกค้า ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ผลไม้อบแห้ง ซอสพริก ซอสปรุงรสต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราสามารถที่จะไปสั่งผลิต หรือนำเข้าจากแหล่งไหนก็ได้ แต่เรายังคงใช้สินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยเป็นหลักในการทำตลาดสหรัฐ เพื่อต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเกษตรกรไทย”

ทั้งนี้หากสินค้าไทยในสหรัฐมีราคาสูงขึ้นตามภาระอัตราภาษีนำเข้าก็มองว่ายังพอเอาตัวรอดได้ เพราะจากประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในตลาดสหรัฐ ทำให้มีประสบการณ์ และรู้ว่าสินค้าใดควรทำ หรือไม่ควรทำ โดยที่ไม่ทำอะไรที่เกินตัว แต่จะทำเฉพาะสินค้าที่รับปากกับคู่ค้าว่าสามารถทำได้เท่านั้น ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือจากคู่ค้าจนถึงปัจจุบัน