ในส่วนของสินค้า “ข้าว” เป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐ และมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ซึ่งจากอัตราภาษีของสหรัฐที่กำลังจะประกาศออกมา จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดของข้าวหอมมะลิข้าวเกรดพรีเมียมของไทยมากน้อยเพียงใดนั้น “นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์” นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงมุมมองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนับจากนี้
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาราคาข้าวหอมมะลิไทย ทั้งราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในประเทศ และข้าวสารหอมมะลิส่งออกราคายังคงยืนในระดับสูง และราคายังไม่ตก เนื่องจากตลาดส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาสหรัฐลูกค้ารายใหญ่สุดของข้าวหอมมะลิไทยได้เร่งนำเข้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณ และประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน (Baseline Tariff) สินค้าจากทั่วโลกในอัตรา 10% และภาษีตอบโต้ในอัตรา 10-60% ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ในแต่ละปี ไทยมีการส่งออกข้าวหอมมะลิไปสหรัฐ ประมาณ 650,000 ตัน ซึ่งจากที่คู่ค้าในสหรัฐหวั่นภาษีที่จะปรับขึ้น และไม่รู้จะจบที่เท่าไร ทำให้มีการเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อไปตุนสต๊อก เพราะหากต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูง จะกระทบต่อผู้บริโภค และกระทบต่อยอดขาย ซึ่งผลจากคู่ค้าเร่งนำเข้าในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาข้าวหอมมะลิส่งออกของไทยราคาไม่ตก ปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิไทยในตลาดโลกยังเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ส่งออกของไทยปรับตัวลดลง จากปีที่ผ่านมาเฉลี่ยที่ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ปัจจุบันลดเหลือที่ระดับ 380 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากเป็นชนิดข้าวที่มีการแข่งขันสูงกับข้าวขาวจากอินเดียที่กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้ง รวมถึงการแข่งขันกับข้าวขาวจากเวียดนาม และปากีสถานที่ราคาตํ่ากว่าไทยเล็กน้อย หลังจากในปีนี้ประเทศผู้นำเข้าส่วนใหญ่คาดจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น จากสภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวย และได้ลดการนำเข้า ทำให้ราคาข้าวในกลุ่มข้าวขาวปรับตัวลดลงตามกลไกตลาด
ต่อคำถามที่ว่าห่วงราคาข้าวหอมมะลิฤดูนาปี ปีการผลิต 2568/69 ที่ผลผลิตในประเทศจะออกมาในช่วงปลายปีนี้จะราคาตกหรือไม่ นายชูเกียรติ ระบุว่า คงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐที่จะเรียกเก็บจากไทยว่าที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ในเบื้องสหรัฐได้ประกาศอัตราภาษีตอบดต้ หรือภาษีต่างตอบแทนให้กับไทยแล้วที่อัตรา 36% ซึ่งจะมีผลกระทบทันที เพราะจากราคาข้าวหอมมะลิส่งออกของไทย ปัจจุบันที่ 1,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน บวกภาษีไปอีก 36% ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาระดับดังกล่าวผู้บริโภคคงรับไม่ได้ ยอดส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐจะลดลงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี จากที่ล่าสุดเวียดนามได้เจรจากับสหรัฐจบแล้ว และได้รับการลดภาษีตอบโต้จากเดิมจะเก็บในอัตรา 46% ลดลงเหลือ 20% ทำให้ในเบื้องต้นข้าวไทยส่งออกไปสหรัฐจะเสียเปรียบข้าวจากเวียดนามมาก หากไทยต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า เพราะราคาข้าวหอมของเวียดนามเวลานี้อยู่ที่กว่า 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน บวกภาษีอีก 20% จะเพิ่มขึ้นเป็น 720 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งจะถูกกว่าข้าวไทยเกือบเท่าตัว ยิ่งทำให้ราคาข้าวหอมมะลิไทยเมื่อเทียบกับข้าวหอมเวียดนามห่างกันออกไปอีก และจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน เพราะจะมีผลทำให้ลูกค้าหันไปซื้อข้าวจากเวียดนามเพิ่มขึ้น รวมถึงจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่าไทย
นายชูเกียรติ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การให้เครดิตเทอม(ระยะเวลาที่ผู้ขายกำหนดให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการภายหลังจากที่ได้รับของไปแล้ว) แก่ลูกค้าข้าว ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจ การค้าโลกชะลอตัว ทำให้การค้าขายมีความเสี่ยงการผิดนัดในการชำระเงินของลูกค้า
ปัจจุบันผู้ส่งออกข้าวนอกจากแข่งขันในเรื่องราคาแล้ว ยังมีการแข่งขันการให้เครดิตเทอมด้วย เช่น ให้ระยะเวลาชำระเงิน 45 วัน บางรายให้ถึง 60 หรือแม้แต่ 90 วัน ทั้งนี้เงื่อนไขเครดิตจะพิจารณาตามความน่าเชื่อถือของลูกค้าแต่ละราย อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน ทั้งจากจีน สหรัฐ และประเทศผู้นำเข้าอื่นๆ ผู้ส่งออกเริ่มมีความกังวลว่าจะมีลูกค้าบางรายที่ไม่สามารถชำระเงินได้ตามระยะเวลาที่ตกลงกัน เช่น บางรายครบกำหนด 30 หรือ 60 วันแล้วก็ยังไม่จ่าย หรืออาจขอทยอยจ่ายบางส่วน ทำให้ผู้ส่งออกเริ่ม “ตั้งการ์ด” มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากหนี้สูญที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งกำไรและสภาพคล่อง
“จากสถานการณ์เศรษฐกิจ และการค้าโลกที่ชะลอตัวในเวลานี้ เราก็จับตาดู และพบว่าลูกค้าที่นำเข้าข้าวไปแล้ว พอครบ 30 วัน 60 วัน หรือครบดีลที่ยังไม่ได้จ่ายค่าสินค้าก็เริ่มมีเหมือนกัน ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มตั้งการ์ดว่า ถ้าปล่อยของให้ลูกค้าก็อาจจะมีการจำกัดปริมาณสินค้าที่เหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป เพราะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเริ่มมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เงินทำให้ต้องจำกัดปริมาณสินค้าส่งมอบให้กับคู่ค้าลดน้อยลง เพราะถ้าขายเยอะแล้วเจอหนี้สูญซักล็อตหนึ่งก็จบ ที่ขายขายมาซักปีนึงก็ทุนหายกำไรหดหมดเลย” นายชูเกียรติ กล่าว