รัฐบาลตุนกระสุน 5 หมื่นล้าน รองรับวิกฤต “ภาษีทรัมป์” เต็มเพดาน

08 ก.ค. 2568 | 06:17 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ค. 2568 | 06:26 น.

ครม.ถก “ภาษีทรัมป์” 36% จุลพันธ์ ยืนยัน รัฐบาล เตรียมเงินไว้รองรับวิกฤต จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 หมื่นล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ-เกษตรกร หากเจอภาษีเต็มเพดาน

วันนี้ (8 กรกฎาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้หารือถึงกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยยืนยันการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป

ทั้งนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะของหัวหน้าทีมเจรจาของไทย ได้ชี้แจงต่อครม. ถึงกลไกต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งผลการเดินทางไปหารือกับทางสหรัฐฯ ซึ่งเห็นว่า สหรัฐฯ ตอบรับกับข้อเสนอที่ไทยได้เสนอไป แต่การเจรจาลักษณะนี้ไม่ได้จบเพียงครั้งเดียว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าวิเคราะห์ง่าย ๆ ก็ถือเป็นการเลื่อนเวลาออกไปจนถึงเดือนสิงหาคม เพื่อให้ทุกอย่างจบสิ้น

โดยรัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า ตอนนี้ได้เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการการเจรจาแล้ว หลังจากนี้ก็ได้มีการยื่นข้อเสนอใหม่ไปให้กับทางสหรัฐฯ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดูผลอีกครั้ง

ขณะที่มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยอมรับว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้กันวงเงินไว้สำหรับดูแลผู้ประกอบการส่วนแรกคืองบกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะแรก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงสร้างภาษีใหม่

อีกส่วนยังมีเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออีก 4 หมื่นล้านบาท ไว้รองรับในกรณีที่หากเกิดปัญหาให้ตรงจุด ทั้งภาคเอกชนและประชาชน ส่วนการจะใช้หรือไม่ใช้อย่างไร ก็ต้องรอดูผลของการพิจารณาภาษีเสร็จสิ้นก่อนว่าสุดท้ายแล้วไทยจะถูกเก็บภาษีเท่าใด

"สุดท้ายคงต้องหาโจทย์เหมือนที่รองนายกฯ แจ้งว่า การเจรจาภาษีต้องเป็นวิน-วิน ว่าเราจะต้องได้ในบางสิ่ง ถอยในบางสิ่ง คงไม่ได้เปิดให้เขาทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการ เกษตรกรไทย ซึ่งจะต้องมีวิธีการและกลไกในการเจรจาต่อไป และให้ความเชื่อมั่นกับทีมไทยแลนด์ที่เจรจา"

ส่วนการใช้กลไกของงบประมาณปี 2569 มารองรับวิกฤตครั้งนี้นั้น มองว่า กลไกของงบประมาณมีความยืดหยุ่นอยู่แล้ว และคงต้องรอดูข้อสรุปสุดท้ายก่อนว่าเป็นอย่างไร