แหล่งข่าวผู้ประกอบการค้าข้าว เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” หากพิจารณาราคาข้าวตามสถิติ พบว่า ราคาข้าวเปลือก (23 มิ.ย.68) ความชื้นไม่เกิน 25% ราคากว่า 5,000 บาทต่อตัน ต่ำสุดในรอบ 17 ปี สาเหตุก็มาจากอินเดียกลับมาส่งออก บวกกับสต็อกในประเทศมีจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้หยุดส่งออก เพราะประเทศขาดแคลน แต่หยุดส่งออกเพื่อให้ราคาข้าวในประเทศปรับตัวลง ผสมกับเป็นการเมืองในประเทศด้วยจึงทำให้หยุดส่งออกไป 1 ปี และประเทศผู้นำเข้า ก็ลดนำเข้าลง อย่างประเทศอินโดนีเซีย ก็แจ้งว่าในประเทศมีผลผลิตเพียงพอ เรียกว่าคนซื้อหาย ซัพพลายเพิ่ม จึงทำให้สถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำมาอยู่ในราคาปัจจุบัน
“ชาวนาก็ต้องประคองตัวเองไปพลางก่อน ในระหว่างรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลสำหรับชาวนาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ที่ผ่านคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งในวันนั้นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมได้รับปากเป็นมั่นเหมาะ ก็เชื่อว่าระดับนี้พูดจะต้องได้อย่างแน่นอน ไม่กล้าเบี้ยวจ่ายชาวนาเด็ดขาด เช่นเดียวกับนาปีรอบใหม่ ล่าสุด อนุตลาด นบข.ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั่งเป็นประธานในที่ประชุมที่มีมติให้จ่ายเงินชาวนา ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ เชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตรการเหล่านี้น่าจะตกโดยอัตโนมัติต้องกลับไปลุ้นรัฐบาลใหม่ว่าจะดำเนินสานนโยบายต่อหรือไม่ ”
แหล่งข่าววงการค้า กล่าวว่า ตั้งคำถามว่าราคาข้าวปรับตัวลง ก็ลำบากกันตั้งแต่ชาวนา โรงสี ส่งออก และผู้ซิ้อข้าวสาร โดยเฉพาะหากมองมุมผู้ซื้อ วันนี้ซื้อข้าวสารจากประเทศไทยไปราคาเท่านี้ สมมติ 450 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็นราคาเอฟโอบี แล้วยังไม่ทันได้ส่งเรือมารับสินค้า ราคาปรับลงแล้ว และเรือมารับสินค้าไปกว่าจะถึงปลายทางแล้วกวาจะได้ขายข้าว ราคาก็ปรับลงไปอีกก็เจอปัญหาแบกสต็อกข้าวต้นทุนแพง
เช่นเดียวกับโรงสี ซื้อข้าวเข้ามาจากชาวนา ยังไม่ได้ขาย แต่ก็มีบางคนมาบอกว่าทำไมไม่ขายล่วงหน้า ก็อยากจะย้อนกลับไปว่าใครจะรู้ล่วงหน้าว่าราคาจะปรับลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิธีการจัดการก็ต้องซื้อวัตถุดิบก่อน แล้วก็ขาย และถ้ามาซื้อในช่วงวัตถุดิบที่ออกมามาก และคนซื้อก็ไม่ซื้อ ก็ต้องเข้าใจอยู่อย่างว่าเวลาราคาปรับตัวลงผู้ซื้อไม่อยากซื้อของเพราะคาดว่าราคาจะปรับตัวลงอีก ด้านผู้ซื้อก็จับตารอ ฝ่ายโรงสีก็จะขายข้าวไม่ได้ แต่ก็ต้องซื้อเผื่อเก็บไว้ ยกตัวอย่างราคาข้าวเปลือก กว่า 6,000 บาทต่อตัน ราคาก็มากถูกแล้วและไม่คิดว่าราคาจะถูกไปกว่านี้ก็ซื้อเก็บไว้เยอะ แต่เพิ่งจะมาเทขายข้าวสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงทำให้ผู้ส่งออกกำหนดราคารับซื้อกว่า 5,000 บาทต่อตันและมีคนขาย ทำให้ตลาดเสียไปเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ ที่ปรึกษาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวเป็นราคาตามตลาดโลก ยังซื้อขายอยู่ที่ ราคาข้าวสาร (เอฟโอบี) ราคา 416 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนข้าวอินเดีย ราคาต่ำกว่าไม่เกิน 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ต่างจากในอดีตข้าวไทยแพงกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปีนี้อินเดียก็กลับมาส่งออกปกติ เพียงแต่ว่าราคาข้าวตกลงมาจากที่สูง ปรับลงมาอยู่ในฐานสภาวะปกติราคาใกล้เคียงในอดีต จึงทำให้ดูเหมือนราคาลงรุนแรง
“ถ้ามาพิจารณาค่าปัจจัยการผลิตไม่ว่าเป็นราคาปุ๋ย สารเคมีเกษตร ย้อนกลับไปราคาถูกว่าปัจจุบัน เนื่องจากราคาปรับตามอัตราเงินเฟ้อด้วย แต่ไทยยังมีขีดความสามารถในการส่งออกข้าวทุกเมล็ดก็ต้องขึ้นอยู่กับภาคการส่งออกต้องกระตุ้นด้วยสารพัดรูปแบบให้ได้ รวมทั้งโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศเอาไว้ที่จะช่วยเหลือชาวนา ในฤดูนาปรัง ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ตรงนี้ต้องเร่งออกมาไม่ว่าความรับผิดชอบจะอยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือกระทรวงพาณิชย์ ต้องรีบเสนอให้ นบข. พิจารณาเพราะว่าเป็นความเดือดร้อนของเกษตรกร”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า จากนี้ไปก็จะเข้าสู่ฤดูกาลนาปีรอบใหม่ และล่าสุดคณะอนุฯ ตลาด นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สรุปในที่ประชุมให้มีการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 2,000 บาท ส่วนจะ 20 ไร่ หรือ 10 ไร่ ก็ยังไม่นิ่งก็ต้องรีบทำมาตรการ นี้ให้มีความชัดเจนเพื่อเกษตรกรจะได้วางแผน และลดภาระจากการขาดทุน และเป็นขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ต้องใส่เงินไปที่เกษตรกรโดยตรงเลย
“หลังจากนี้ไปให้มาคิดวางแผนเพื่อให้เกษตรกรเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนให้เกษตรกร ซึ่งตราบใดที่ผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยไม่เกิน 800 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีผลผลิตตันกว่า ต้นทุนถูกกว่า ทำให้ส่งออกได้มากกว่า เพราะผู้ซื้อมีทางเลือกมากกว่า เราจะต้องเพิ่มศักยภาพการพัฒนาอย่างจริงจังและมีนัยสำคัญระยะยาวควบคู่กับการช่วยเหลือเกษตรกรไปด้วย อย่างไรก็ดีในอดีตสมัยรัฐบาลสมัคร ราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งเป็นช่วงนาปรังก็เคยมีมาตรการช่วยมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยช่วยเลย อย่างไรก็ดีก็มีความเป็นห่วงในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ทราบว่าจะมีผลต่อมาตรการการช่วยเหลือชาวนา ตามมติเดิม แล้วสานนโยบายต่อหรือไม่ ” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว