สินค้าอาหารอนาคตของไทย ทั้งในรูปแบบอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป หรือผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งมีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และกระบวนการผลิตมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามหลักการ BCG (Bio-Circular-Green) Model เช่น อาหารและเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ อาหารทางการแพทย์ อาหารออร์แกนิก กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นจากผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารอนาคตของไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562–2567 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี 2567 ล่าสุด ไทยมีการส่งออกอาหารอนาคตมูลค่า 1.62 แสนล้านบาท ขยายตัว 13% เมื่อเทียบกับปี 2566
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารอนาคตของไทยในปี 2568 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีนี้ สมาคมฯ คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5-7% จากปีก่อน หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 1.70-1.73 แสนล้านบาท ล่าสุดในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 41,679 ล้านบาท เติบโต 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กลุ่มสินค้าที่ส่งออกมากที่สุดคือ Functional Food และ Functional Ingredients มูลค่า 37,994 ล้านบาท เติบโต 7.3% รองลงมาคือกลุ่ม Medical & Personalized Food มูลค่า 1,912 ล้านบาท เติบโต 9.6% ขณะที่กลุ่ม Alternative Protein หดตัว 15.4% และกลุ่ม Organic Food มูลค่า 416 ล้านบาท เติบโต 15%
ในแง่ตลาดส่งออก พบว่าอาเซียนยังคงเป็นตลาดหลัก มีมูลค่าการส่งออก 15,863 ล้านบาท ตามด้วยประเทศจีน 6,689 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 5,927 ล้านบาท และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) 3,152 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในปีนี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของอุตสาหกรรมอาหาร โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากภาวะค่าครองชีพสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และช่องว่างด้านทักษะในภาคการผลิต ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขในระยะยาว
สำหรับปัจจัยภายนอก ยังต้องเผชิญกับความผันผวนจากความไม่แน่นอนทางการค้า โดยเฉพาะ “นโยบายภาษีของสหรัฐฯ” ภายใต้แนวคิด America First ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจกลับมาเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการส่งออกของไทย ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมพร้อมในการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
อีกหนึ่งแรงกดดันคือมาตรการด้านความยั่งยืนที่ประเทศคู่ค้าหลายแห่งเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ภาษีคาร์บอนของยุโรป (CBAM) หรือข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับมาตรฐานสากลเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีความผันผวนในด้านโลจิสติกส์ ราคาค่าขนส่ง และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามและอินเดีย กำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอย่างก้าวกระโดด
“จากปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด ทำให้อุตสาหกรรมอาหารของไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้า พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจกลับมาในรูปแบบที่เข้มข้นกว่าเดิม ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจึงต้องเร่งกระจายความเสี่ยงของตลาด ยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืน ลงทุนในนวัตกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอาหารแห่งอนาคต เช่น Plant-based Food, Functional Food หรือ Personalized Nutrition เพื่อตอบโจทย์ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ” นายวิศิษฐ์ กล่าว