ท่ามกลางความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจทั่วโลกกับ “นโยบายทรัมป์ 2.0” ผลพวงจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กระทบห่วงโซ่การค้าทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยที่เผชิญกับปัญหา ขณะเดียวกันก็ต้องหามาตรการรับมือและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การค้าในระยะยาว
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ” โดยฉายภาพให้เห็นถึง “กลุ่มสินค้าเสี่ยง” ที่ได้รับผลกระทบจะถูกขึ้นภาษีในอนาคตว่า จะเป็นกลุ่มสินค้าที่มักถูกสวมสิทธิ์และถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการเลี่ยง ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สามารถแบ่งเป็นกลุ่มสินค้าได้ดังนี้
1.กลุ่มเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อาทิเหล็ก ลวดทองแดง อะลูมิเนียม สกรู น็อต ตะปู
2. กลุ่มยางล้อผลิตภัณฑ์ยาง อาทิท่อส่ง และสายยางที่ทำจากยางวัลคาไนซ์ ยางล้อ(รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกขนาดเล็ก) ยางลมใหม่สำหรับรถยนต์ประเภทอื่น
3.กลุ่มวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ อาทิ แผ่นหินเทียม พื้นไม้ลามิเนต ตู้ไม้ หมอน
4.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อาทิตู้เย็น-ตู้แช่ แผงโซลาร์เซลล์ กล้องวิดีโอดิจิทัลสำหรับถ่ายภาพนิ่ง มอเตอร์กระแสสลับ (AC) แผงวงจรพิมพ์
5.กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อาทิ ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมของตัวถังรถยนต์ระบบเบรก กระปุกเกียร์
นอกจากยังมีสินค้าส่งออกที่มีการใช้วัตถุดิบนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่สูง อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ (โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า) มีชิ้นส่วนที่นำเข้าจากจีนสูง เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ หรือระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ (บางประเภท) ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจำพวกแร่ต่างๆ หรือหินเทียมจากจีน และมาผ่านการเจียระไนในไทย อาทิ สร้อยคอแฟชั่นจากแร่เทียม แหวน/ต่างหูเรียบที่ผลิตจากโลหะเคลือบ
“จากที่กล่าวข้างต้น อาจจะส่งผลกระทบเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยจะลดลง เนื่องจากราคาสินค้าจะสูงขึ้น และอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตของบริษัทผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นที่มีข้อได้เปรียบด้านภาษีเนื่องจากต้นทุนการผลิตในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว
น.ส.สุนันทา ระบุด้วยว่า ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกของไทยลดลงอย่างมาก เนื่องจากสินค้าข้างต้นเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงของมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท อาทิ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน 32% เครื่องใช้ไฟฟ้า 25% ยางและผลิตภัณฑ์จากยาง 4% ยานยนต์และชิ้นส่วน 4% เครื่องประดับ 4% ผลิตภัณฑ์เหล็กหรือเหล็กกล้า 2% เฟอร์นิเจอร์ประมาณ 2%
อธิบดี DITP กล่าวว่า มาตรการแรกที่ทำทันที คือ การเร่งชิงพื้นที่ตลาดสหรัฐฯจากสินค้าจีน ไทยมีสินค้า 8 กลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการเข้ามาแทนที่สินค้าจีนที่ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ได้แก่ ยางล้อ ถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ข้าว ผลไม้แปรรูป อาหารกระป๋อง และเฟอร์นิเจอร์ และเพื่อกระจายความเสี่ยงด้านการค้า
ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ จึงส่งเสริมผู้ประกอบการไทยขยายตลาดทดแทนที่มีศักยภาพโดยเฉพาะตลาดที่มี FTA กับไทยที่ปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว 14 ฉบับ และ FTA ที่ลงนามแล้วและอยู่ระหว่างการ ดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ 3 ฉบับ
นอกจากนี้ได้สั่งการทูตพาณิชย์ทั้งในสหรัฐอเมริกาและสำนักงานฯทั่วโลก เร่งผลักดันและขยายตลาดสินค้าไทย รวมถึงสร้างความสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านการค้า ผู้ซื้อ/ผู้นำเข้ารายใหม่ที่สำคัญในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสทางการค้าใหม่
นางสาวสุนันทา กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯจะมีการจัดกิจกรรม US–Thailand Online Business Matching วันที่ 19 มิ.ย. 2568 โดยเชิญผู้นำเข้าสำคัญจากสหรัฐฯ มาพบปะเจรจาออนไลน์กับผู้ประกอบการไทยในสินค้าเหล่านี้โดยตรง เพื่อให้เข้าถึงตลาดได้เร็วที่สุด และแม่นยำที่สุดและจะมีการกิจกรรม “จับคู่ธุรกิจเชื่อมไทยสู่โลก รับมือความท้าทายการค้าโลก” (Thailand - GlobalConnect : Seeking New Opportunities amidst Global Trade Challenges)
โดยให้ สคต. ทั้งหมด 58 แห่งทั่วโลกเชิญผู้นำเข้าจากทั่วโลกเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ทั้งออฟไลน์ในประเทศไทย และออนไลน์ (จากยุโรป สหรัฐฯ และ ลาตินอเมริกา) เพื่อสร้างเครือข่ายการค้าให้แก่ผู้ประกอบการทุกคลัสเตอร์สินค้าและบริการในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568
สำหรับตลาดใหม่ที่มีความน่าสนใจ คือ ไนจีเรีย เคนยา และซาอุดิอาระเบีย สินค้าที่มีโอกาสส่งออก ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรกลการเกษตร อาหารกระป๋อง ข้าว อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม ผลไม้แปรรูป กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และเครื่องประดับฯ
ทั้งนี้ จะมีการจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าและบริการศักยภาพของไทย เดินทางไปเจรจานัดหมายนักธุรกิจ ผู้ซื้อผู้นำเข้า ใน 3 ตลาดศักยภาพของตะวันออกกลางและแอฟริกา พร้อมสำรวจตลาด ในวันที่ 14 - 24 กรกฎาคม 2568
ขณะที่ตลาดลาตินอเมริกา อาทิ บราซิล ชิลี จะมีการจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าอุตสาหกรรมและอาหารของไทย เดินทางไปเจรจานัดหมายนักธุรกิจ/ผู้ซื้อผู้นำเข้า ณ นครเซาเปาโล และกรุงซันติอาโก พร้อมสำรวจตลาด ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568
นอกจากนี้จะมีโครงการ SMEs Pro-active DITP X EXIM Empower Financing โดย DITP ร่วมมือกับ EXIM Bank ออกแพ็กเกจสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ส่งออก เพื่อลดผลกระทบทางการค้าและเร่งส่งออกไปต่างประเทศรวมถึงขยายตลาดใหม่ ภายใต้โครงการ SMEs Pro-active
“โดยผู้ประกอบการได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ วงเงินไม่เกิน 200,000 บาท มีสิทธิ์ขอรับสินเชื่อธนาคารเป็นเงินทุนหมุนเวียนอนุมัติสูงสุด 400,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 12 เดือน กรณีวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักประกัน”
อธิบดี ย้ำในตอนท้ายว่า ภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งออก ทั้งในสถานการณ์การค้าปกติและฉุกเฉิน ภาครัฐจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึก ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนรับทราบปัญหาและอุปสรรค เพื่อนำมาใช้ประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการรองรับต่างๆ ที่ตอบโจทย์สถานการณ์ฯ