โดยสามารถช่วยรัฐบาลปิดดีลเจรจาขายมันอัดเม็ด ปริมาณ 2 หมื่นตัน ให้กับโรงงานผู้ผลิตและค้าอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศซาอุดีอาระเบียที่เป็นตลาดใหม่ได้สำเร็จ และถือเป็นการเปิดประตูบานแรกในการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังของไทยไปตลาดตะวันออกกลาง
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายปัญญา บุญบันดาลฤทธิ์” นายกสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถึงทิศทางแนวโน้มของอุตสาหกรรม และคาดการณ์การส่งออกมันเส้น มันอัดเม็ดและแป้งมันสำปะหลังของไทยในปี 2568 พร้อมถอดบทเรียนเกษตรกรขายหัวมันสดได้ราคาตํ่าเฉลี่ย 1.40-1.50 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แปลงเป็นมาตรการช่วยเหลือในปี 2569 ที่การซื้อหัวมันสดเชื้อแป้ง 25% ต้องได้ในราคาไม่ตํ่ากว่า 2 บาทต่อ กก.
ส่งออกมันเส้นฟื้นทวงคืนตลาดจีน
นายปัญญา กล่าวว่า สำหรับการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดปี 2568 คาดว่าจะมีปริมาณ 3 ล้านตัน จาก 2567 อยู่ที่ประมาณ 2.04 ล้านตัน ซึ่งนับว่าปีนี้เป็นปีที่ตลาดได้กลับคืนสู่ภาวะปกติ จากปีที่แล้วสถานการณ์ของผู้ประกอบการถืออยู่ในช่วงตํ่าสุดในรอบ 20 ปี สาเหตุจากราคาหัวมันฯปีที่แล้วแพงมาก เฉลี่ย 3.50-4.20 บาทต่อ กก. ทำให้ผู้นำเข้าจากจีนมีต้นทุนที่สูง มีผลให้ต้องซื้อวัตถุดิบแค่เพื่อประคองให้โรงงานเดินไปได้ ไม่ได้ซื้อไปผลิตแบบเต็มรูปแบบ
“ปีนี้ตลาดเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ราคามันสำปะหลังสามารถแข่งขันกับธัญพืชได้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ซื้อกลับมาซื้อมากขึ้นโดยเฉพาะมันเส้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของจีนมีความต้องการมากขึ้น ทั้งนี้ราคาหัวมันจะแพงหรือจะถูก ขึ้นอยู่กับโรงแป้ง ว่าจะสามารถซื้อได้ราคาเท่าไร เพราะโรงแป้งใช้วัตถุดิบมากที่สุดประมาณ 75% ของผลผลิต เพราะฉะนั้นตัวชี้วัดของราคาหัวมันสดอยู่ที่ราคารับซื้อ ณ หน้าโรงงานของโรงงานแป้งมันเป็นสำคัญ”
แป้งมันวูบ 4 เดือนเวียดนามแซงไทย
ส่วนสถานการณ์แป้งมันสำปะหลังไทย ปี 2567 ส่งออกปริมาณ 4.2 ล้านตัน มูลค่ากว่า 9.1 หมื่นล้านบาท คาดการส่งออกปี 2568 จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ในความเป็นจริงปีนี้ไทยน่าจะมีโอกาสขายแป้งมันฯได้มากขึ้น แต่ไทยต้องแข่งขันกับอีก 2 ประเทศที่มีการส่งออกได้มากขึ้น ได้แก่ 1.สปป.ลาว จาก 2 ปีที่แล้วผลิตแป้งมัน 4 แสนตัน ล่าสุดช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาสามารถผลิตได้ร่วม 8 แสนตัน และส่งออกไปขายที่ประเทศจีนและเวียดนาม ทำให้ยอดการส่งออกเติบโตกว่า 200% เนื่องจากฐานส่งออกเดิมตํ่า และ 2.ประเทศเวียดนาม ส่งออกไปขายจีนเพิ่มขึ้น 50% ในช่วง 4 เดือนของปี 2568 แซงประเทศไทยไปแล้วประมาณ 20-30%
ดังนั้นหากไทยปิดด่านไม่ให้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากกัมพูชาและสปป.ลาวเข้ามา หากสินค้าเหล่านี้ไหลไปที่ประเทศเวียดนาม ยิ่งทำให้เวียดนามได้ต้นทุนที่ถูกลงในจำนวนที่มากขึ้นและสามารถขายให้กับจีนในราคาที่ถูกลงกว่านี้อีกและในจำนวนที่มากขึ้น จะยิ่งทำให้ประเทศไทยแข่งขันในตลาดจีนได้น้อยลงไปอีก จากเวลานี้ทั่วโลกให้การยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตแป้งมันสำปะหลังได้ดีที่สุดในโลก
เล็งงัดมาตรการป้องราคาหัวมันสดตํ่า ปี 69
นายปัญญา กล่าวอีกว่า ทางสมาคมฯ ได้มีหารือกับสมาชิกในการประเมินสถานการณ์ปี 2569 โดยถอดบทเรียนในปี 2568 ว่า รัฐบาลจะต้องดูแลเกษตรกรอย่างไรในช่วงที่ผลผลิตหัวมันสดออกมาปริมาณมาก ซึ่งผลการหารือเป็นราคาเป้าหมายคือ จะต้องซื้อให้เกินกว่า 2 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันราคายังตํ่า ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเหตุการณ์กะทันหันมากอยู่ในช่วงสั้นๆ 10-20 วัน ซึ่งก็อยากจะขอโทษเกษตรกร เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้ทันตั้งรับว่าสินค้าจะทะลักออกสู่ตลาดในช่วงนั้น ขณะที่วัตถุดิบล้นโรงงาน กว่าเกษตรกรจะได้ลงสินค้าใช้เวลา 2-3 วัน บางโรงใช้ระยะเวลา 4 วัน อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่งเกษตรกรก็ทำให้ผู้ประกอบการได้มีงานทำ ก็มีความเห็นใจเพราะเกษตรกรได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักมากในรอบ 10 ปีก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม นอกจากไทยสามารถเปิดตลาดมันสำปะหลังที่ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะช่วยให้มีตลาดมากขึ้นและช่วยดันราคามันสำปะหลังในประเทศให้ดีขึ้นในอนาคตแล้ว เป้าหมายต่อไปคือตลาดเกาหลีใต้ ที่เป็นตลาดเก่าซึ่งต้องไปฟื้นตลาด ทั้งในส่วนของมันเส้น มันอัดเม็ด ซึ่งยอมรับว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ขณะที่เกาหลียังได้มีการนำเข้าข้าวโพดจีเอ็มโอจากสหรัฐฯ ด้วย และปัจจุบันเกาหลีใต้ยังซื้อมันเส้นด้วย แต่ซื้อจากเวียดนาม แบบมันปลอกเปลือก โดยซื้อราคาสูงกว่าไทยเฉลี่ย 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
“ล่าสุดทางสมาคม สวทช.ได้ช่วยทำงานวิจัยผลิตภัณฑ์มันเส้นในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อจะเปิดตลาดใหม่ และสามารถขายให้อุตสาหกรรมใหม่ได้ เช่น ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเหล็ก ในประเทศจีน เป็นต้น อย่างไรก็ดีทาง 4 สมาคมมันสำปะหลัง ได้พยายามที่จะหาตลาดใหม่ และมีการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันเอง ซึ่งจะทำเกษตรกรขายวัตถุดิบได้ในราคาที่สูงขึ้น” นายปัญญา กล่าว ตอนท้าย
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,103 วันที่ 8 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568