ทูตพาณิชย์ดูไบ ลุยดันส่งออกตลาด UAE ตั้งเป้าปี 68โต 3-5%

05 มิ.ย. 2568 | 03:33 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มิ.ย. 2568 | 04:03 น.

ทูตพาณิชย์ดูไบ กางแผนดันส่งออกสินค้าไทยไปยูเออี ตั้งเป้าโต 3-5% ชี้ดูไบคือศูนย์กลางการค้า–ลงทุนแห่งภูมิภาค แนะผู้ประกอบการไทยใช้เวทีงานแสดงสินค้าเป็นช่องทางเจาะตลาดตะวันออกกลาง

นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ดูไบถือเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้รายได้หลักไม่ได้มาจากน้ำมันเหมือนในอดีต แต่เป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเงิน และการท่องเที่ยวครบวงจร

ดูไบฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังวิกฤติโควิด-19 โดยเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้ภายใน 6-8 เดือน ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนและสนับสนุนธุรกิจบริการจำนวนมาก ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว

 

นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ

 

อีกทั้งมีนโยบายอัดฉีดเพื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เติบโตอย่างเห็นได้ชัด มีการก่อสร้างตึกสูงและโครงการใหม่มากมาย นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ทั้งรัสเซีย ยูเครน จีน รวมถึงกลุ่มผู้มีรายได้สูงจากทั่วโลก ซึ่งกระจายตั้งแต่กรรมกรจนถึงเจ้าของธุรกิจรายใหญ่ ดูไบถือว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศในหลายสาขา ทั้งเทคโนโลยี เมดิคัล การเงิน การประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์

ขณะเดียวกัน จากกรณีนโยบายทรัมป์ที่มีการปรับขึ้ยกำแพงภาษี ตลาดตะวันออกกลางจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เนื่องจาก โดนัลท์ ทรัมป์ มองตะวันออกกลางเป็นเพื่อนและยังคงสานสัมพันธ์ต่อเนื่อง เพราะกลัวอิทธิผลจากรัสเซีนและจีน 

ด้านการค้ากับไทยกับตลาดตะวันออกถือเป็นตลาดคู่ค้ารายใหญ่อยู่อันดับ 6 และยูเออี เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังดูไบ ได้แก่ ชิ้นส่วนรถยนต์ แอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ไม้ จิวเวลรี่ และอาหารกระป๋อง ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สินค้าที่ไทยนำเข้าจากดูไบ ได้แก่ น้ำมัน กว่า 90%

"เนื่องจากดูไบ เป็นเมืองทะเลทราย ไม่ค่อย มีผลผลิตอะไรมาก จะเน้นการนำเข้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ หรือทวีปอื่น เช่น แอฟริกา เพราะว่าดูไบมีความสมบูรณ์ทางด้าน การเงิน ธนาคาร และโลจิสติกส์ ท่าเรือต่างๆ ซึ่งก็จะมีเทรดดิ้งต่างๆ มาเปิดบริษัทเพื่อการส่งออก" 

 

อย่างไรก็ดี สินค้าไทยได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดดูไบ มีซูเปอร์มาร์เก็ตนำเข้าสินค้าไทยมากกว่า 10 แห่ง มีร้านอาหารไทยมากกว่า 200 ร้านค้า เนื่องจากอาหารไทยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ผลไม้ จิวเวอรี่ เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีโอกาสในการส่งออกและมีความน่าสนใจ ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดหลักได้ เนื่องจาก ตลาดตะวัน ออกกลาง ไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งจะช่วยเสริมการส่งออกได้

ปัจจุบันการส่งออกไทยไปดูไบ ช่วงไตรมาสแรก (มกราคม -มีนาคม) ปี 2568 มีมูลค่า 2,300 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวประมาณ 10 กว่า% ขณะที่แผนส่งออกไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตั้งเป้าการส่งออกปี 2568 ไว้ประมาณ 3-5%  

สำหรับแผนผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดยูเออี ที่จะดำเนินการได้แก่

  • การผลักดัน Soft Power โดยใช้แผนเศรษฐกิจเชิงรุก โดยหากเป็นการนำเข้าจะต้องหาผู้นำเข้ารายใหม่ รวมถึงรักษาคู่ค้ารายเดิม 

 

  • การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า โดยการนำผู้แระกอบการไทยเดินทางเข้าร่วมงานที่ประเทศดูไบจัดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ประกอบการจะได้เจอกันจริง

 

  • การนำนักธุรกิจ ทางฝั่งยูเออี เข้าไปงานแสดงสินค้าในประเทศไทย เช่นงาน งานแสดงสินค้า THAIFEX – ANUGA ASIA , งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Gems and Jewelry Fair

 

  • การทำไทยแลนด์แบรนดิ้ง 

 

  • การจัดอีเว้นท์ เช่น ส่งเสริมการส่งออกผู้ประกอบการไทย เมื่อเข้าไปในตลาดแล้วต้องมีการจัดกิจกรรมร่วมกับซุปเปอร์นั้นๆ เพื่อกระจายสินค้าให้เร็วที่สุด

 

นายปิติชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ดูไบเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด โดยเฉพาะงานแสดงสินค้า ซึ่งจะมีการจัดช่วงเดือนตุลาคม - เมษายน ถ้าหากผู้ประกอบการไทยอยากเจาะกลุ่มตลาดตะวันออกกลางต้องมาเจรจาต่อหน้า

"ดูไบจึงถือเป็นประตูสู่ภูมิภาคที่สำคัญสำหรับสินค้าไทย ทั้งในเชิงการค้าและการลงทุน พร้อมโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะขยายธุรกิจและสร้างความร่วมมือในตลาดที่มีศักยภาพนี้ต่อไป"