นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" เปิดภาพรวมโอกาสการค้าของไทยในแดนอาทิตย์อุทัย ท่ามกลางบริบทสงครามการค้าและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากค่าเงินเยนอ่อนค่าในรอบ 37 ปี แต่ยังมีช่องทางเติบโตจากสินค้าอาหารและ Soft Power ไทยที่กำลังเป็นที่จับตาของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น
“แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะซบเซา แต่ญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึง 62% นี่คือจุดแข็งของไทย เราตั้งเป้าหมายขยายยอดขายให้โต 10,000 ล้านบาทในปีนี้” นายฉันทพัทธ์ กล่าว
ปัจจุบันการส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหารซึ่งครองสัดส่วนกว่า 60% ของเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ นายฉันทพัทธ์อธิบายว่า แม้ค่าเงินเยนจะอ่อน แต่ความต้องการบริโภคยังสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่นมีจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งแตะ 37 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการสินค้าอาหารไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ส่วนอีก 40% มาจากกลุ่มสินค้า Soft Power เช่น เกม ซีรีส์ Y ศิลปะ และแฟชั่นไทย โดยเฉพาะ "เกมไทย" ที่สามารถสร้างยอดขายในญี่ปุ่นได้ถึง 1,600 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายต่อเนื่องในปีนี้ ขณะเดียวกันยังมีการร่วมมือทำซีรีส์ Y ที่ต่อยอดจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการส่งออกแฟชั่นภายใต้โครงการ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" โดย "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา"
“เราผสม Soft Power ไทยกับ Soft Power ญี่ปุ่น เช่น กิโมโนผ้าไทย เป็นคอลเลกชันพิเศษที่กำลังจะวางขายทั่วญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ภาคภูมิใจมาก” นายฉันทพัทธ์เผย
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างความฮือฮาคือ การผลักดัน “กล้วยหอมทอง” ซึ่งไทยมีศักยภาพเป็นประเทศเดียวที่ปลูกได้ในเชิงพาณิชย์ นายฉันทพัทธ์เล่าว่า แม้ญี่ปุ่นจะนำเข้ากล้วยถึง 1 ล้านตันต่อปี แต่ไทยยังใช้สิทธิพิเศษปลอดภาษีได้เพียง 2,000 ตัน จึงมีการเร่งเจรจาปิดดีลส่งออก 5,000 ตันจากจังหวัดสงขลา และกำลังขยายพื้นที่ปลูกในพัทลุง ซึ่งเป็นจังหวัดยากจนลำดับต้น ๆ ของประเทศ หวังยกระดับรายได้เกษตรกรไทย
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดนำ “ดอกทิวลิป” ที่ปลูกโดยใช้ความเย็นจากโรงงาน LNG ที่ระยอง ส่งไปขายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 135 สาขาทั่วญี่ปุ่น พร้อมเสริมดอกไม้ตามฤดูกาลอื่น ๆ ต่อไป
นายฉันทพัทธ์เผยว่า การแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นเริ่มรุนแรงขึ้นจากผลกระทบสงครามการค้า โดยมีเวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญ การปรับตัวจึงต้องใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือหลัก
“Soft Power ไม่ใช่แค่ขายของ แต่คือการร่วมมือกัน เช่น กาชาปองที่ใส่สินค้าไทย หรือการวาดการ์ตูนญี่ปุ่นเพื่อโปรโมตสินค้าไทย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า “ตลาดญี่ปุ่นให้ความเชื่อมั่นอย่างสูงกับหน่วยงานภาครัฐ ถ้ามีรัฐบาลไทยหนุนหลัง ก็เท่ากับได้ใบเบิกทางอย่างมั่นคง”
นอกจากกลยุทธ์สร้างแบรนด์ผ่าน Soft Power แล้ว ยังเน้นเชื่อมโยงการทำงานระหว่างสำนักงานพาณิชย์ในญี่ปุ่นกับพาณิชย์จังหวัดในไทย เช่น การพาผู้ซื้อญี่ปุ่นลงพื้นที่จริง คัดเลือกผลผลิตถึงแหล่งต้นทาง และแก้ปัญหาแบบเจาะจุด เช่น การประสาน ธ.ก.ส. ให้ปล่อยสินเชื่อเฉพาะกิจแก่เกษตรกร
แม้ปีที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นติดลบ 5% จากค่าเงินเยนอ่อน แต่ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขการค้าเพิ่มขึ้น 1.3% โดยตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ +1.5% ซึ่งคาดว่ากิจกรรมทางการค้าจากฝั่งพาณิชย์จะมีบทบาทเร่งการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ
เดือนนี้จะเริ่มโปรโมตสินค้ากับซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 1,600 สาขา เชื่อว่ากระตุ้นยอดขายได้ตามเป้าแน่นอน” นายฉันทพัทธ์กล่าวปิดท้าย