ทั้งนี้ซึ่งผู้ส่งออกทราบกันดีว่า ตัวเลขการส่งออกไทยที่เร่งตัวขึ้นดังกล่าว มีส่วนสำคัญจากคู่ค้าในตลาดใหญ่คือสหรัฐอเมริกาได้เร่งการนำเข้าสินค้าไปตุนสต๊อก ก่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ไทยในอัตรา 36% ของสหรัฐที่ได้ชะลอการบังคับใช้ 90 วันจะสิ้นสุดลงในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ และยังไม่ทราบความชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วสหรัฐจะเก็บภาษีตอบโต้ไทยในอัตราเท่าใด จากการเจรจาในเรื่องนี้ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกายังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น
อย่างไรก็ดีในการประชุมทูตพาณิชย์ 58 สำนักงานทั่วโลก รวมถึงผู้นำภาคเอกชน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้คาดหวังการส่งออกของไทยทั้งปีนี้น่าจะโตได้เกิน 4% จากต้นปีที่ผ่านมาเดิมคาดจะขยายตัวได้ 2-3% หลังตัวเลขการส่งออกไทยในช่วง 4 เดือนแรกยังขยายตัวได้ดี
ขณะที่มีปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของไทย ได้แก่ ความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากต่างประเทศสูงโดยเฉพาะประเทศในตะวันออกกลาง อาเซียน ยุโรป และแอฟริกา, บริษัทต่างชาติหลายรายยังคงย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีน ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากการเป็นแหล่งผลิตสินค้าส่งออกทดแทน, อานิสงส์จากการกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานส่งผลให้หลายบริษัทข้ามชาติหันมาหาฐานการผลิตหรือคู่ค้าจากไทย มากขึ้น ไทยจึงได้ออเดอร์ใหม่ในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าเกษตรแปรรูปเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรและอาหารก็ฟื้นตัว โดยความต้องการสินค้าอาหารแปรรูป, ผลไม้, ข้าว, น้ำตาล เพิ่มขึ้นทั้งในเอเชียและตะวันออกกลาง รวมถึงสินค้า Functional Food และ อาหารฮาลาล ที่ไทยมีศักยภาพ การขยายการค้ากับประเทศที่ไทยมี FTA แล้ว และที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ช่วยลดอุปสรรคทางด้านภาษี รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มตะวัน ออกกลาง, แอฟริกา, เอเชียใต้ มากขึ้น
อย่างไรก็ตามท่ามกลางความไม่แน่นอนและปัจจัยเสี่ยงที่สถานการณ์พลิกผันรายวัน ทั้งจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ สงครามการค้าที่ยังไม่จบ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขยายวงในหลายคู่ของโลก และค่าเงินบาทที่ผันผวนในทิศทางแข็งค่า ซึ่งล่าสุด ณ วันที่ 6 มิถุนายน2568 เฉลี่ยที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่ามากสุดในรอบ 8 เดือนกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย และผลพวงจากเศรษฐกิจจีนคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว ทำให้คำสั่งซื้อจากจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
ล่าสุดสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่ขยายวงเป็นสงครามการค้าโลกยังไม่จบ แม้ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ จะมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม โดยมีคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ให้รัฐบาลสหรัฐยกเลิกภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยศาลระบุว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี
เหตุการณ์ได้พลิกผันอีกครั้งแค่ชั่วข้ามวัน โดยหลังรัฐบาลสหรัฐได้ยื่นอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ศาลอุทธรณ์ระดับรัฐบาลกลางก็ได้สั่งระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศชั่วคราว ทำให้รัฐบาลทรัมป์สามารถกลับมาเก็บภาษีต่อได้ระหว่างรอผลการตัดสินของศาลอุทธรณ์ โดยศาลสั่งให้คู่กรณี คือฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ยื่นเอกสารสู้คดีภายในวันที่ 5 มิถุนายน และให้รัฐบาลยื่นเอกสารภายในวันที่ 9 มิถุนายน
จากสถานการณ์ที่พลิกผันไปมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทุกอย่างยังตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนดังนั้นการเร่งเจรจาเรื่องภาษี ไทย-สหรัฐ ยังต้องเดินหน้าต่อไป ส่วนสิ่งที่ผู้ส่งออกไทยควรเร่งปรับตัวในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ คือ การกระจายตลาดส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ และจีน และหันไปหา “ตลาดเกิดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และเอเชียใต้ให้มากขึ้น รวมถึงใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมีอยู่แล้วให้เต็มที่ การยกระดับมาตรฐานสินค้า โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพื่อรองรับมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป เป็นต้น
บทสรุปการส่งออกไทยในปี 2568 ยังมีโอกาสบรรลุเป้าหมายขยายตัว 4% หากสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านนโยบายการค้าระหว่างประเทศได้อย่างชาญฉลาด โดยผู้ส่งออกต้องวางกลยุทธ์เชิงรุก กระจายความเสี่ยง และเตรียมความพร้อมรับมือกับโลกที่ยัง “ไม่ปกติ” อย่างถาวร