รายงานภาวะตลาดซื้อขายข้าว โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ตลาดในประเทศ ข้าวขาว 100% ชั้น 2 ราคาเพิ่มขึ้นจากกระสอบละ 1,300 บาท เป็นกระสอบละ 1,320 บาท และปลายข้าว เอ.วัน.พิเศษ ณ โรงงานอาหารสัตว์ ราคาลดลงจากกระสอบละ 1,050 บาท เป็นกระสอบละ 1,040 บาท
ด้านตลาดซื้อขายข้าวต่างประเทศ ข้าวขาว 100% ชั้น 2 ส่งออกท่าเรือกรุงเทพฯ เอฟ.โอ.บี. ราคาเพิ่มขึ้นจากตันละ 435 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐ และปลายข้าว เอ.วัน.พิเศษ ส่งออก เอฟ.โอ.บี. ลดลงจากตันละ 360 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นตันละ 358 ดอลลาร์สหรัฐฯ
แนวโน้ม : คาดว่าราคาข้าวน่าจะทรงตัว
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ ไซโลโรงงานอาหารสัตว์ ราคาเพิ่มขึ้นจากหาบละ (60 กก.) 621 บาท เป็นหาบละ 633 บาท
ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าที่นครชิคาโก (CBOT) วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 สัญญาข้าวโพด รอบส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลง 3.25 เซนต์ หรือ -0.68% ปิดที่ 4.7225 ดอลลาร์/บุชเชล สงครามการค้าของสหรัฐ กับจีนยังเป็นปัจจัยเสี่ยง
โดยมีรายงานจากบัญชีโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับสื่อของทางการจีนว่า ทางการสหรัฐ ได้ติดต่อจีนเพื่อหารือเกี่ยวกับภาษีนำเข้า 145% ที่ทรัมป์กำหนดไว้ ขณะที่ยอดส่งออกข้าวโพดรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 1 ล้านเมตริกตัน ลดลง 13% จากค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งยังอยู่ในระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
แนวโน้ม : คาดว่าราคาข้าวโพดในประเทศน่าจะทรงตัว
กากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ยืนราคาที่กิโลกรัมละ 16.10 บาท ประเทศบราซิลดำเนินการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองไปแล้วประมาณ 95% ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ส่วนฝั่งประเทศอาร์เจนตินา เริ่มเก็บเกี่ยวแล้วประมาณ 10% ยังคงช้ากว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่ปริมาณซื้อขายในตลาดทรงตัว
ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าที่นครชิคาโก (CBOT) วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 สัญญาถั่วเหลืองรอบส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2568 เพิ่มขึ้น 5.75 เซนต์ หรือ +0.55% ปิดที่ 10.5025 ดอลลาร์/บุชเชล สัญญาถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นหลังฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความต้องการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ โดยสัญญาถั่วเหลืองฟื้นตัวจากแรงซื้อทางเทคนิค แม้ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กับจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ ในขณะที่ราคาถั่วเหลืองในบราซิลซึ่งเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกปรับตัวลง ทำให้การแข่งขันกับสหรัฐฯ ในตลาดโลกรุนแรงขึ้น
แนวโน้ม : คาดว่าราคาถั่วเหลืองนำเข้าน่าจะทรงตัว
การจับปลาสำหรับฤดูกาลใหม่ที่ประเทศเปรูได้เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน โดยได้โควตาจับปลามากที่สุดในรอบ 5 ปี ที่ 3.0 ล้านตัน คาดว่าจะจบฤดูกาลภายใน 31 กรกฎาคม ซึ่งยังคงต้องรอดูว่าปริมาณที่จับได้จริงจะมากน้อยเพียงใด ขณะที่ราคารับซื้อปลาป่นที่จีนทรงตัว ส่วนปริมาณการซื้อและปริมาณสต๊อกปลาป่นหน้าท่าเรือเพิ่มขึ้น
ด้านสถานการณ์ราคาปลาป่นในประเทศยังคงทรงตัว โดยปลาป่นเกรดกุ้ง อยู่ที่กิโลกรัมละ 42 บาท ปลาป่นเบอร์ 1 เกรดที่สูงกว่า 60 โปรตีนขึ้นไป อยู่ที่กิโลกรัมละ 36.70 บาท และปลาป่นเกรดที่ต่ำกว่า 60 โปรตีน ยืนราคาที่กิโลกรัมละ 33.70 บาท
ส่วนปลาป่นเบอร์ 2 ชนิดโปรตีนสูงกว่า 60 โปรตีนขึ้นไป ทรงตัวที่กิโลกรัมละ 33.20 บาท และปลาป่นเบอร์ 2 ชนิดที่มีโปรตีนสูงกว่า 56 แต่ไม่เกิน 60 โปรตีน ยืนราคาที่กิโลกรัมละ 31.70 บาท
แนวโน้ม : คาดว่าราคาปลาป่นน่าจะทรงตัว
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่18/2568) วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 ผู้เลี้ยงทุกภูมิภาคยืนราคา โดยแนวโน้มราคายังคงยืนแข็ง ขณะที่ระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สำรวจสถานการณ์ราคาสินค้า เนื้อหมูมีปริมาณเพียงพอ ราคาเหมาะสม เป็นไปตามกลไกตลาด
ภาคตะวันตก 88 บาทต่อกิโลกรัม (กก.)
ภาคตะวันออก 88 บาท ต่อ กก.
ภาคอีสาน 88 บาท ต่อ กก.
ภาคเหนือ 88 บาท ต่อ กก.
ภาคใต้ 88 บาท ต่อ กก.
ด้านลูกสุกรน้ำหนัก 16 กิโลกรัมต่อตัว ราคาอยู่ที่ 2,900 บาท (บวก/ลบ 90 บาท ต่อ กก.)
แนวโน้ม : คาดว่าราคาสุกรน่าจะยืนแข็ง
กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจการปศุสัตว์ กองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ แจ้งราคาแนะนำไก่เนื้อ ณ วันที่ 28 เมษายน 2568 ยืนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ด้านลูกไก่เนื้อ ยืนราคาที่ตัวละ 18.50 บาท และลูกไก่ไข่ ราคาตัวละ 28.00 บาท
แนวโน้ม : คาดว่าราคาไก่เนื้อน่าจะทรงตัว
เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ แจ้งปรับราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร จากฟองละ 3.40 บาท เป็นฟองละ 3.60 บาท มีผลเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
แนวโน้ม : คาดว่าราคาไข่ไก่น่าจะทรงตัว