จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ เสนอ 3 มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 9,604 ล้านบาท เป้าหมาย 8.5 ล้านตันข้าวเปลือก
นายศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนสรรไรซ์ จำกัด หนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงสถานการณ์ราคาข้าวหอมมะลิไทย หลังสหรัฐประกาศเตรียมขึ้นภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งในสินค้าข้าว ข้าวหอมมะลิไทยมีตลาดใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาจะได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไรนั้น ในความเห็นส่วนตัว คาดไม่กระทบมาก เนื่องจากตลาดในประเทศของไทยก็มีการบริโภคข้าวหอมมะลิมาก
อย่างไรก็ดีการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดนั้น คงต้องรอดูผลหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศชะลอการขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariffs) ออกไป 90 วันเป็นเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 8 กรกฎาคมว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของข้าวหอมมะลิคงต้องรอดูเพราะผลผลิตข้าวหอมมะลินาปีในฤดูการผลิตใหม่จะออกในช่วงปลายปีนี้ และออกปีละครั้งเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้สหรัฐประกาศเก็บภาษีพื้นฐานกับประเทศคู่ค้ารวมไทยไปแล้ว 10% ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิก็ไม่ได้ลดลง แต่ราคายังยืนแข็ง ณ วันที่ 29 เม.ย.68 ราคาข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิความชื้น 15% ที่ชาวนาทยอยนำออกมาขาย(ข้าวในโครงการสินเชื่อชะลอการขาย) ยังเฉลี่ยที่16,000-17,000 บาทต่อตันและยังมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษี ทางผู้ซื้อก็ได้ปรับตัวรอกันอยู่แล้วโดยเร่งนำเข้า ส่วนเราก็เร่งส่งออกข้าวกันไปเป็นจำนวนมากตั้งแต่เดือนมกราคม”
นอกจากนี้ยังส่งออกไปตลาดจีน ตลาดยุโรป รวมถึงประเทศอิหร่านก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาแต่หลังจากสหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีก็ทำให้สถานการณ์ส่งออกได้ชะงักไปช่วงหนึ่ง แต่พอยังอยู่ในช่วงผ่อนปรนระยะเวลาการปรับขึ้นภาษีก็ทำให้ราคาข้าวเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยเชื่อว่าข้าวหอมมะลิยังมีตลาด และขายได้แน่นอน
นายศุภชัย กล่าวถึงโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกว่าอยากให้รัฐบาลได้สนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวราคาตก โดยเฉพาะในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวที่ผลผลิตจะออกมามากจากการเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กันซึ่งในส่วนของข้าวหอมมะลิปลูกได้ปีละครั้ง โดยภาคอีสานเป็นพื้นที่ปลูกแหล่งใหญ่สุด
ด้านนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายในและในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เผยถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาทไม่เกิน 10 ไร่ในรอบนาปรังว่า กรมฯอยู่ระหว่างรอให้ทางคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ทำรายละเอียด อาทิ การขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่จะสิ้นสุดในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมด พร้อมเงื่อนไขต่างๆ พร้อมเสนอวงเงินใหม่ เข้าที่ประชุมนบข. ใหม่ในเร็วๆ นี้ หลังจากนั้นจะส่งเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อขออนุมัติงบประมาณต่อไป
นายสุเทพ คงมาก กรรมการในคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต กล่าวว่า การจ่ายเงินไร่ละพันรอบนาปรัง ควรจะขยายเวลาเนื่องจากภาคใต้ 14 จังหวัด ตามกรอบเวลา เริ่มวันที่ 1 มีนาคม –15 มิถุนายน 2568 เดิมมีชาวนาในกลุ่มนี้1,450 ครัวเรือน 2,956 แปลง เนื้อที่ 14,039.14 ไร่ (ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปี2566/67) ขณะที่ปัจจุบัน (ณ วันที่ 28 เม.ย.68) มีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียน 1,662 ครัวเรือน 3,289 แปลง เนื้อที่ 12,195.65 ไร่
“ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะมีเงินให้หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ ได้นำเงินกู้จากการขายข้าวเปลือกในโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางไปจ่ายแล้ว ยังไม่ได้รับคืนตันละ 500 บาท และอีกด้านหนึ่งก็คงต้องรอเงินเหลือจากการจ่ายชาวนาไร่ละพันจากนาปี ปีก่อนว่าเหลือเท่าไรแล้วเงินที่เหลือรัฐบาลจะสมทบงบประมาณเพิ่มได้เท่าไร”
ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมการข้าว มีชาวนามาขึ้นทะเบียนแล้ว 820,553 ครัวเรือน 1,588,842 แปลง 11,453,181.86 ไร่ คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 6 พันล้านบาท ก่อนหน้านั้น นบข. (26 ก.พ. 68) อนุมัติมาตรการสนับสนุนการเพาะปลูกให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว (นาปรัง) เป็นเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน คาดว่าใช้งบ 2,800 ล้านบาท ยังไม่รวมชาวนาภาคใต้ ที่กำลังอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน