ทั้งนี้แม้จะชะลอการบังคับใช้มาตรการออกไป 90 วัน แต่รัฐบาลหลายประเทศต้องเตรียมแผนเจรจาและหาทางออกเพื่อลดภาษีดังกล่าว ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องเตรียมตัวรับมือกับกรณีนี้อย่างรอบคอบ
นอกเหนือไปจากสินค้าอุตสาหกรรม เครื่องบิน อาวุธ สิ่งที่สหรัฐต้องการคือการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของสหรัฐในประเทศต่าง ๆ ให้มากขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าไทยจะถูกสหรัฐกดดันให้เปิดตลาด “เนื้อหมูและเครื่องในหมู” เป็นเหตุให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทยกังวลจนต้องรวมตัวกันกว่า 1,000 คนยื่นหนังสือถึงนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจา
จนในที่สุดก็มีการประกาศมติว่าไทยจะไม่นำเนื้อหมูและเครื่องในไปเป็นเงื่อนไขต่อรองการลดภาษีกับสหรัฐ เนื่องจากหมูไม่ใช่สินค้าที่ไทยขาดแคลน เพราะหลักในการพิจารณาคือไทยจะนำเข้าเฉพาะพืชผลเกษตรที่ไทยขาดแคลนหรือผลิตได้ไม่เพียงพอเท่านั้น
สำหรับสินค้าเกษตรที่สหรัฐผลิตได้มากและไทยผลิตได้ไม่เพียงพอ คือ พืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง ซึ่งหากเปิดตลาดนี้ได้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ ทั้งช่วยลดการขาดดุลของสหรัฐได้ถึง 84,000 ล้านบาทต่อปี หรือปีละ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยไม่ได้เสียอะไรเพียงแค่เปลี่ยนแหล่งกำเนิดพืชอาหารสัตว์มาซื้อจากสหรัฐมากขึ้นเท่านั้น
“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ในแต่ละปีประเทศไทยมีความต้องการใช้สูงถึง 9.2 ล้านตัน แต่ผลิตภายในประเทศได้เพียง 5 ล้านตัน เรียกว่าขาดแคลนมากถึง 4.2 ล้านตัน ในจำนวนที่ขาดนี้ประเทศไทยต้องใช้วิธีนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านราว 2 ล้านตันต่อปี บวกกับการนำเข้าข้าวสาลีจากประเทศยูเครนประมาณ 1.7 ล้านตันต่อปี เข้ามาทดแทน
การเปลี่ยนไปนำเข้าจากสหรัฐฯ แทนประเทศเพื่อนบ้านย่อมไม่มีอะไรเสียหาย ผลพลอยได้ยังอาจเป็นเรื่องของการลดฝุ่นพิษ PM2.5 ที่เคยถูกกล่าวหาว่าเกิดจากการเผาไร่ข้าวโพดในประเทศเพื่อนบ้านด้วยซ้ำ
ดังนั้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงเป็นสินค้าที่เหมาะสมในการเปิดตลาดให้สหรัฐอเมริกา ขณะที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของไทยจะได้รับการดูแลเช่นเดิม หมายความว่าการนำเข้าข้าวโพดสหรัฐนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลสามารถกำหนดเงื่อนไขเพื่อดูแลเกษตรกรภายในประเทศได้หลายประการ เช่น กำหนดจำนวนที่จะให้นำเข้าไม่เกินกว่าส่วนที่ขาดหรือราว 4.2 ล้านตัน, กำหนดช่วงเวลานำเข้า, กำหนดผู้มีสิทธิ์นำเข้า, การห้ามจำหน่ายจ่ายแจก หรือ การมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกรข้าวโพดในประเทศ (โดยรัฐ)
นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นเพื่อดูแลเกษตรกรข้าวโพดอีก เช่น มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน, มาตรการชดเชยดอกเบี้ยการเก็บสต๊อกของผู้ประกอบการและกลุ่มสหกรณ์ และขอความร่วมมือผู้ประกอบการดูแลราคารับซื้อ เป็นต้น จึงไม่ต้องกังวลกับรายได้ปกติของเกษตรกรแต่อย่างใด
แต่ที่น่ากังวล คือมีคนบางกลุ่มที่พยายามสร้างความเข้าใจผิดว่าเกษตรกรจะได้รับเงินน้อยลงซึ่งไม่เป็นความจริง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงคือโอกาสในการกักตุนข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเก็งกำไรจะหายไป จึงเป็นที่มาของความพยายามสร้างความเข้าใจผิดดังกล่าว ดังนั้นโปรดอย่าป่วนทีมไทยแลนด์ด้วยการปั่นข่าวเท็จเพื่อประโยชน์ส่วนตนอีกเลย นาทีนี้ประโยชน์ของชาติควรมาก่อน
บทความโดย : สมรรถพล ยุทธพิชัย นักวิชาการอิสระ