เศรษฐกิจโตต่ำ ดอกเบี้ยขาลง  กดกำไรแบงก์ช่วงที่เหลือปี68

26 เม.ย. 2568 | 03:05 น.
อัปเดตล่าสุด :26 เม.ย. 2568 | 03:05 น.

แบงก์เผชิญเสี่ยงอื้อ ทั้งเศรษฐกิจโตช้า โตต่ำ ดอกเบี้ยขาลง กดดันหนี้เสีย หนี้จะเสียจ่อปะทุ บล.พายจับตาผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ฉุดสินเชื่อรายใหญ่ เงินลงทุนใหม่ไม่เกิด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้รายได้ธุรกิจหลักเหนื่อย

ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) 11 แห่ง ที่มีกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลักๆมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 1.47% กำไรจากเงินลงทุน รายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง รวมทั้งการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น(ECL) หรือสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า กำไรธนาคารพาณิชย์ไตรมาสแรกปีนี้ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังไม่สะท้อนผลกระทบไตรมาสสองจากนโยบายภาษีทรัมป์ ยกเว้น ความวุ่นวายในตลาดหุ้นที่ปรับลดลง ขณะที่ผลกระทบกับธนาคารมีจำกัด

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน)

สิ่งที่เห็นคือ ทั้งรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ(NIM) และกำไร(มาร์จิ้น)บางลงนั้น มาจาก 3 ปัจจัยคือ สินเชื่อหดตัว โดยมาจาก 2 ส่วนคือ ไตรมาส1 และ 4 มักเป็นฤดูกาลของการชำระคืนหนี้ หลังจากทยอยปล่อยสินเชื่อไปก่อนหน้า

ปัจจัยที่2 คือผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามดอกเบี้ยนโยบาย บวกกับมาตรการ “คุณสู้เราช่วย”มีผลต่อการคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าที่ลดลง และปัจจัยที่ 3.คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล(NPL) เพิ่มขึ้นตามปัจจัยของแต่ละธนาคาร 

“ไตรมาสแรกปีนี้สะท้อนว่า แบงก์ยังควบคุมหนี้เอ็นพีแอลได้ค่อนข้างดี โดยทุกแบงก์เข้าสู่ช่วงลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ และระวังมากขึ้น มองไปช่วงที่เหลือ ธุรกิจแบงก์แย่ลง เพราะมีความท้าทายมากขึ้นทั้งครึ่งปีหลัง"

เศรษฐกิจโตต่ำ ดอกเบี้ยขาลง  กดกำไรแบงก์ช่วงที่เหลือปี68

ทั้งนี้เท่าที่ฟังภาคธุรกิจตอนนี้ ทุกคนไม่กล้าทำอะไร ช่วง 90วัน ไม่น่าจะเกิดการลงทุนใหม่ การใช้จ่ายต่างๆ คงชะลอ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยจากนี้จะอยู่ในช่วงชะลอตัว ดังนั้นการเติบโตสินเชื่อจะลำบาก ตามเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจต่ำกว่า 2.0%

 

นอกจากนั้น ทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาลงในระยะข้างหน้า สิ่งที่ธนาคารจะทำได้คือ การควบคุมเอ็นพีแอล ไม่เสี่ยงปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมการตั้งสำรอง ECL ธนาคารจะระมัดระวังตัวมากที่สุดไปจนถึงสิ้นปีนี้ กรณีจะปล่อยสินเชื่อใหม่จะมุ่งเน้นลูกค้าที่มั่นใจได้ว่า ลูกค้ามีความสามารถจะจ่ายคืนหนี้ได้ 

ดังนั้น สินเชื่อที่ยังพอจะเห็น อาจจะเป็นลูกค้าที่แบงก์คุ้นเคยหรือรู้จักดี แต่โครงการใหม่ยังไม่เกิดเพราะดีมานด์ยังไม่แน่นอน สำหรับโครงการใหม่โอกาสจะปล่อยสินเชื่อให้อาจให้น้อยหรือไม่ให้เลย ระวังหนี้เสีย เพราะกำไรปีนี้อาจจะไม่เติบโตแล้วจากปีที่แล้วกำไรแบงก์โต 9.0%

มองไปข้างหน้าปีนี้ ถ้าเศรษฐกิจไทยเติบโตแค่ 1%กว่าๆ รายได้ของประชาชนยิ่งน้อยลง คนเป็นหนี้เป็นหนี้มากขึ้น ทำให้ประชาชนไม่เข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ เพราะมีปัญหา สุดท้ายจะกลายเป็น “ภาวะหนี้ที่แก้ยาก” ส่วนกำไรกลุ่มธนาคารคงจะไม่เติบโต  สิ่งที่ทำได้คือ จ่ายปันผลให้มากที่สุดหรือถ้าเงื่อนไขในการซื้อหุ้นคืนมีความยืดหยุ่น อาจจะเอื้อให้ธนาคารประกาศซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม จากที่ผ่านมาบางแห่งได้ดำเนินโครงการแล้ว

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มเอ็นพีแอลและหนี้ที่ต้องจับตา(SM/Stage2) ยังค่อยๆ ขยับเพิ่ม เพราะระหว่างทางมีกลไกให้ธนาคารทยอยดูแลลูกค้าตามเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (RL) แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่โตช้าและโตต่ำคุณภาพสินเชื่อยังมีความกังวลค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจเต็มไปด้วยความเสี่ยงในระยะข้างหน้า 

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

“ภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นๆ ฟุบๆ มองไปข้างหน้า ยังมีปัจจัยเสี่ยง หากเศรษฐกิจฟื้นช้าหรือ เติบโตต่ำและผลกระทบจากหลายเรื่องที่มะรุมมะตุ้มตอนนี้ สิ่งที่เห็นไม่ใช่แค่ NPL ที่ขยับขึ้นแต่รวมถึง Stage2 ด้วย ซึ่งต้องดูแลจัดการกันต่อ"

โดยเฉพาะภายใต้เกณฑ์ RL เห็นได้จาก NPL ไตรมาสแรกของธนาคารทั้ง11 แห่งอยู่ที่ 3.14%ของสินเชื่อรวม ซึ่งขยับขึ้นจากไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 3.04% และจากไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3.08% 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่จะมาพ่วงกับคุณภาพสินเชื่อคือ การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังจากนี้คือ ก่อนหน้านี้การกันสำรองหนี้ทยอยลงมาหลายไตรมาสแล้ว เพราะทำกันไปก่อนหน้ามากแล้ว

ซึ่งหลังจากนี้คงจะหยุดลง แต่ประเด็นคือ ความเสี่ยงทำให้แบงก์ต้องกลับมาระมัดระวัง และอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการตุนกันสำรองเพื่อรองรับความ เสี่ยงในระยะข้างหน้า

“สัญญาณธุรกิจหลักของแบงก์ไปได้ลำบาก จากรายได้ธุรกิจหลักที่ลดลง ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ มองไปข้างหน้า ยังมีความท้าทายเต็มไปหมด ไม่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โอกาสจะเห็นการลดดอกเบี้ย ดังนั้นธนาคารจะยังเหนื่อย”

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส1/68 ที่ผ่านมา มีสัญญาณธุรกิจหลักของธนาคารไปได้ลำบาก จากรายได้ของธุรกิจหลักที่ลดลง (รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ) แต่รายได้อื่นๆ เช่น กำไรจากเงินลงทุน / การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และการวัดมูลค่ายุติธรรมซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลักของธนาคาร  

ถ้ามองไปข้างหน้า จึงยังมีความท้าทายเต็มไปหมด ไม่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และโอกาสที่จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ย เหล่านี้กระทบธุรกิจหลักของธนาคารเหนื่อย และเศรษฐกิจไม่ดียังมีผลต่อคุณภาพสินเชื่อ และผลต่อกันสำรองหนี้ฯด้วย ขณะที่ยอดเงินฝากขยับขี้นไตรมาสต่อไตรมาสในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นคนละภาพกับสินเชื่อที่หดตัว(สินเชื่อลด เงินฝากเพิ่ม)

ที่ท้าทาย คือ ทิศทางดอกเบี้ยขาลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ กำไรของธนาคารจะแคบลง  เพราะผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้  แต่ที่ผ่านมาธนาคารไม่ได้ลดดอกเบี้ยเงินฝากหรืออาจจะลดเงินฝากระยะยาว12เดือน  ดอกเบี้ยจ่ายรออยู่ในระยะข้างหน้าจากแนวโน้มเงินฝากที่เพิ่มขึ้น สะท้อนต้นทุนในการระดมเงินฝากเริ่มไล่หลังมาแล้ว

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,091 วันที่ 27 - 30 เมษายน พ.ศ. 2568