ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 โดยธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ลดลง 278 ล้านบาท หรือ 5.17% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,374 ล้านบาท
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและมุ่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก
ทั้งนี้ เพื่อรักษาแนวโน้มของผลประกอบการในปี 2568 ธนาคารยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการต่อยอดศักยภาพด้านดิจิทัลและ Data Analytics เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้า ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ภายใต้แนวคิด Ecosystem Play และกระตุ้นรายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อ เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านรายได้ ซึ่งยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยขาลงและภาวะเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตสินเชื่อ
ส่งผลให้ธนาคารยังคงสามารถรักษาแนวโน้มของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จากระดับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 มาอยู่ที่ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 จากค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ ที่ลดลง 7% และ 2% จากไตรมาสที่แล้ ตามลำดับ
ด้านการดูแลลูกค้า ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ราย ในปี 2566 มาสู่ 37,470 ราย ในปี 2567 และกว่า 47,000 ราย ในปัจจุบัน
“เทียบเท่าว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้มากกว่า 2,300 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งมีลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 35,000 ราย”
ประการท้ายสุด คือ การดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเดือนมกราคม 2568 ธนาคารได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ภายใต้วงเงิน 21,000 ล้านบาท
นอกจากจะเป็นการใช้เงินทุนส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันการบรรลุเป้าหมาย ROE ที่ 10% แล้ว ยังคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตก็มีความคืบหน้าตามแผนที่ได้วางไว้
ส่วนช่วงที่เหลือของปี ธนาคารคาดว่า ความขัดแย้งในเวทีการค้าโลกอาจส่งผลกระทบและสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นต่อภาคการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น จึงจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าพอร์ตสินทรัพย์และสถานะทางการเงินยังคงมีความแข็งแกร่ง สามารถรักษาแนวโน้มของผลประกอบการและอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ จะยังคงดำเนินการตามแผนการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking หรือ ดิจิทัลแบงก์กิ้งที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ เป็นประโยชน์กับลูกค้า
ประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมทั้งการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 สะท้อนความสามารถในการรักษาแนวโน้มของผลประกอบการ รวมทั้งการดูแลคุณภาพพอร์ตสินทรัพย์
ฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5% และ 18.2% ตามลำดับ สูงเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1