สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศการจัดเก็บ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงสินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในอัตราเพิ่มอีก 34% ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 จีนได้ออกแถลงการณ์และประกาศมาตรการตอบโต้ทางภาษีเพิ่มอีก 34% เช่นกัน พร้อมคุมการส่งออกแร่หายากไปสหรัฐฯ
นายถู ซินฉวน (Tu Xinquan) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยองค์การการค้าโลกจีนแห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจระหว่างประเทศและเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่ามาตรการตอบโต้ของจีนในครั้งนี้รวดเร็วเพื่อต่อสู้กับการถูกกระทำจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่านโยบาย Reciprocal Tariff ของรัฐบาลทรัมป์เป็นมาตรการการค้าที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สิ่งนี้จะสร้างความเสียหายขนาดใหญ่ต่อระบบการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานโลก และยังจะฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกลงอย่างรุนแรงอีกด้วย
นับตั้งแต่ 1 ก.พ. 68 เป็นต้นมา ที่สหรัฐฯ เริ่มขึ้นภาษีกับจีนนั้น จีนได้ออกมาตรการตอบโต้อย่างต่อเนื่อง เช่น เก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ที่อัตรา 15% และ ในการนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตรและรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ ที่อัตรา 10%
และประกาศควบคุมการส่งออกแร่เหล็กหายาก 25 ชนิด ตรวจสอบกิจการ Enterprise สหรัฐ เพิ่มรายชื่อบริษัท 10 แห่งของสหรัฐฯลงในรายชื่อนิติบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น Tecom, Rocker & Rudder
ทั้งนี้การส่งออกของจีนอยู่ภายใต้แรงกดดันในระยะสั้นขอบเขตและอัตราภาษีของภาษี Reciprocal Tariff ครอบคลุมเกือบทุกหมวดหมู่ของสินค้าที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ (ยกเว้นผลิตภัณฑ์ขั้นกลางที่สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้า เช่น เซมิคอนดักเตอร์และยา ฯลฯ ) และระดับภาษีเฉลี่ยทั้งอัตราเดิมและอัตราใหม่สูงถึง 54%
หากเปรียบเทียบกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐรอบแรกเมื่อปี 2561 ผลกระทบจากภาษีนำเข้าครั้งนี้รุนแรงกว่า อัตราภาษีที่สูงส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผลิตภัณฑ์ส่งออกของจีนในตลาดสหรัฐฯ และทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมส่งออกแบบดั้งเดิม เช่น การผลิต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอและเสื้อผ้า ตลอดจนเครื่องจักรและอุปกรณ์
ทั้งนี้ รายการภาษีของสหรัฐฯ ประกอบด้วยภาษีอุตสาหกรรมเพิ่มเติม 25% สำหรับเหล็ก อลูมิเนียม ยานยนต์ และส่วนประกอบรถยนต์ นั่นหมายความว่าภาระภาษีที่แท้จริงต่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับจีน (เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ) อาจสูงถึง 79% ภาษีที่สูงจะทำให้การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก
ขณะเดียวกันในปี 2567 การส่งออกของจีนไปยังประเทศตามโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพิ่มขึ้น 9.6% และการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้น 13.4% สะท้อนถึงการแสวงหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
แม้ว่า Tech War ของ ปธน.ทรัมป์ จะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกที่มากขึ้นในระยะสั้น แต่จะบังคับให้จีนต้องเร่งดำเนินการเพื่อความเป็นอิสระจากการพึ่งพาทางเทคโนโลยีของชาติอื่นด้วยเช่นกัน และจะเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ ที่มีระบบนิเวศอุตสาหกรรมดิจิทัลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว ปล่าวเติมเพิ่มว่า ปฏิกิริยาตอบโต้อย่างแข็งกร้าวของจีนสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับความขัดแย้งทางการค้า โดยเฉพาะการใช้จุดแข็งของการเป็นผู้ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์แร่ธาตุหายากรายใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่สหรัฐต้องพึ่งพาการนำเข้าในการผลิตภัณฑ์ไฮเทคที่เกี่ยวข้องในสหรัฐฯ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการทหาร
นอกจากนี้ จีนมองตัวเองว่าเป็นประเทศขนาดใหญ่จึงมีความสามารถในการปรับตัว โดยสามารถขยายอุปสงค์ภายในประเทศได้ รวมถึงเพิ่มมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจ และการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค อย่างไรก็ดี การบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดหวังไว้ในปีนี้จะค่อนข้างยาก แต่ก็จะพยายามรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การใช้มาตรการภาษีอย่างรุนแรงของสหรัฐครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงผลกระทบต่อตัวสหรัฐฯ เอง สิ่งนี้จะผลักดันให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นในระยะสั้น กดดันความต้องการของผู้บริโภคในระยะยาว และอาจก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเงินเฟ้อ (Stagflation) รวมถึงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการจ้างงานทั่วโลก
โดยเฉพาะประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ส่งออกสินค้าราคาต่ำและมีความอ่อนไหวต่อราคา รวมทั้งภาคการส่งออกของไทยที่พึ่งพาทั้งสหรัฐฯ และจีน
ทั้งนี้ การเจรจาประนีประนอมโดยการลดภาษีศุลกากร เพิ่มการซื้อสินค้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศได้รับผลกระทบจากสินค้าของอเมริกา โดยเฉพาะภาคการเกษตรและการผลิตที่ขาดข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยี โดยประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยควรจะต้องหาตลาดทดแทน ในกลุ่มที่จีนจะลดการนำเข้าจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสหรัฐฯ สูง