KEY
POINTS
จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สู่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีอายุในการบริหารประเทศเพียง 4 เดือน แต่การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานยังคงเดินหน้าต่อ ปัจจุบันพบว่าโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าลงทุนในปี 2569 อย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง โดยเตรียมใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่ได้รับจัดสรรเบื้องต้นกว่า 2.65 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายลงทุนกว่า 2.34 แสนล้านบาท เพื่อเร่งรัดโครงการสำคัญที่จะทยอยเปิดประมูลและเซ็นสัญญาในปีงบประมาณ 2569
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปี 2569 กระทรวงคมนาคมยังคงเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม จำนวน 15 โครงการ วงเงินกว่า 1.88 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับศักยภาพประเทศ เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน สำหรับโครงการสำคัญที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเป็นรูปธรรมในปี 2569 ดังนี้ 1. โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงชุมพร–สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท 2. ช่วงสุราษฎร์ธานี–ชุมทางหาดใหญ่–สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท
3. ชุมทางหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท 4. ช่วงปากน้ำโพ–เด่นชัย วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท 5. ช่วงชุมทางถนนจิระ–อุบลราชธานี วงเงิน 44,095 ล้านบาท และ 6. ช่วงเด่นชัย–เชียงใหม่ วงเงิน 68,222 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามแผนการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงินรวมเกือบ 2.9 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในปี 2569 7. โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย โดยเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อไปยังภาคอีสานและเชื่อมโยงกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีการวางแผนการลงทุนในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) วงเงินประมาณ 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเริ่มกระบวนการเปิดประมูลได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2569
8. โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง จำนวน 2 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงรังสิต–มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,470 ล้านบาท และ 9. ช่วงศิริราช–ตลิ่งชัน–ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท ตามแผนทั้ง 2 โครงการ รฟท. ได้เปิดประกวดราคาแล้ว จะเริ่มลงนามสัญญาภายในเดือนมีนาคม 2569 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี และเปิดให้บริการในปี 2572
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่โครงข่ายถนนและทางด่วน ซึ่งจะเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวก ในโครงการที่ 10 คือโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) วงเงิน 997,680 ล้านบาท เมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ที่สุดเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน มีแผนเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (PPP) ภายในปี 2569
11. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต–บางปะอิน (มอเตอร์เวย์ M5) หรือส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ วงเงิน 31,358 ล้านบาท โดยเป็นการร่วมลงทุน (PPP) ในการก่อสร้างงานโยธาและงานระบบ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569
12. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม–ปากท่อ (M8) วงเงินรวม 54,562 ล้านบาท ซึ่งเป็นมอเตอร์เวย์สายใหม่ ตามแผนกรมฯ ได้เสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว จากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมกราคม 2569 ก่อนเปิดประมูลหาผู้รับจ้างต่อไป
13. โครงการทางพิเศษสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต วงเงิน 16,757 ล้านบาท ตามขั้นตอนจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) พิจารณาการยกเว้นค่าผ่านทางดังกล่าวภายในเดือนนี้ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในธันวาคม 2568 เพื่อทบทวนมติ ครม. เฉพาะเรื่องการเก็บค่าผ่านทาง จากนั้นจะเร่งเปิดประมูลภายในช่วงต้นปี 2569
14. โครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 (งามวงศ์วาน–พระราม 9) หรือ Double Deck วงเงิน 34,800 ล้านบาท ที่ผ่านมา กทพ. ได้มีการเจรจากับ บมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ให้เป็นผู้ลงทุน แลกกับการขยายระยะเวลาสัมปทานระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ออกไป 22 ปี 5 เดือน ที่จะสิ้นสุดปี 2578 ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องมีการแก้สัญญาให้แก่เอกชนเพื่อแลกกับการก่อสร้างโครงการ Double Deck ซึ่ง กทพ. จะต้องชดเชยรายได้ให้แก่เอกชน โดยจะนำเข้า ครม. พิจารณาเห็นชอบด้วย
นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่แล้ว อีกหนึ่งโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคมยังเดินหน้านโยบายสำคัญเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะ “รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน” ที่รัฐบาลเตรียมใช้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหมาจ่าย 40 บาทต่อวัน เริ่มนำร่องสายสีแดงและสีม่วงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568
ล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. ในเร็ว ๆ นี้ ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นจะพิจารณาหลักการของการบริหารรถไฟฟ้าด้วย Single Ownership
ซึ่งจะโอนโครงการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนด้วย เพื่อสอดรับกับการใช้ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) อย่างสมบูรณ์ในอนาคต ซึ่งจะต้องดำเนินการบริหารจัดการรถไฟฟ้าภายใต้แนวคิดบริหารรายเดียว (Single Ownership)
รัฐมนตรีคมนาคม กล่าวต่อว่า หากจะดำเนินการโอนสิทธิการบริหารรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับเอกชนกลับมาเป็นของ รฟม. จำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน โดยแนวทางการซื้อคืนและมูลค่าการซื้อคืน (ประเมิน 4 สาย ได้แก่ สายสีเขียว / สีน้ำเงิน / สีชมพู / สีเหลือง ใช้งบกว่า 1 แสนล้านบาท) กระทรวงคมนาคมจะหารือกับกระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสม
เบื้องต้นได้หารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้ว ซึ่งไม่ขัดข้องต่อแนวคิดดังกล่าว จึงต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการให้สัมปทานแบบเดิม มาเป็นการที่รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและจ้างเอกชนเดินรถ ทำให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและตั๋วร่วมได้อย่างอิสระขณะที่การจะโอนรถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐ เมื่อ ครม. เห็นชอบในหลักการแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเจรจากับเอกชน เพื่อทำข้อตกลงในการซื้อคืนรถไฟฟ้า
ด้านรูปแบบของการหาแหล่งเงินมาซื้อคืนนั้น จะเป็นอย่างไร เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังพิจารณา โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ 2 แนวทาง คือ 1. จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คล้ายกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เพื่อระดมเงินมาใช้ในการซื้อคืนรถไฟฟ้า
2. เปิดสัมปทานระยะยาวแก่เอกชน เช่น สัญญา 30 ปี โดยให้เอกชนนำสัมปทานใหม่นั้นไปค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โมเดลนี้รัฐไม่ต้องกู้เงินหรือค้ำประกันเอง ไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ โดยรัฐจะทยอยจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานให้เอกชนในภายหลัง รวมทั้งจ่ายค่าจ้างเดินรถตามสัญญากำหนด
สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ผ่านสภาฯ แล้ว โดยกระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรร 265,406.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 20,829.80 ล้านบาท หรือ 8.52% แต่ลดจากคำขอกว่า 45% โดยงบส่วนราชการ 9 หน่วยงาน ได้รับวงเงิน 199,955.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.42% จากปีก่อน งบรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน ได้ 65,450.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.77% จากปีก่อน
ขณะที่งบรายจ่ายประจำ 30,658.21 ล้านบาท มีสัดส่วน 11.55% ลดลงเล็กน้อยจากปี 2568 ส่วนรายจ่ายลงทุน 234,748.55 ล้านบาท (สัดส่วน 88.45%) งบลงทุนใหม่ 162,301.56 ล้านบาท คิดเป็น 69.14% และส่วนผูกพันเดิม 72,446.99 ล้านบาท
สำหรับหน่วยงานที่ได้งบสูงสุดคือกรมทางหลวง 131,375.29 ล้านบาท รองลงมาคือกรมทางหลวงชนบท 53,547.48 ล้านบาท ฝั่งรัฐวิสาหกิจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ (รฟม.) ได้งบสูงสุดที่ 38,172.65 ล้านบาท โดย ครม. อนุมัติหนี้ผูกพันข้ามปี 1,917 รายการ รวม 349,656.40 ล้านบาท โดยรายการใหญ่กว่า 1,000 ล้านบาท มี 44 รายการ ทั้งนี้ งบผูกพันข้ามปีช่วยให้โครงการคมนาคมขนาดใหญ่เดินหน้าได้ต่อเนื่อง ลดปัญหาหยุดชะงัก และกระตุ้นเศรษฐกิจจากการลงทุน–จ้างงาน